บทความให้กำลังใจ(พลังแห่งสติ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    หัวโขน
    ภาวัน

    ตอนที่เขาตัดสินใจออกนิตยสารฉบับใหม่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หาใช่มือใหม่ในวงการหนังสือไม่ เขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้วจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำเช่น Trendy Man และ IMAGE แต่นั่นมิใช่หนังสือในฝันของเขา เขาอยากมีอิสระทำนิตยสารอย่างที่ใจรัก โดยไม่อยู่ในอาณัติของนายทุน เขากับเพื่อนจึงลงขันทำนิตยสารที่ตั้งใจว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    เขาสร้างนิตยสาร a day โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจึงต้องนับหนึ่งในทุกเรื่อง รวมทั้งออกไปขายโฆษณาด้วยตนเอง เขามั่นใจว่านิตยสารของเขาจะได้รับความสนใจจากวงการโฆษณา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่วัยละอ่อนในวงการ แต่แล้วเขาก็ได้บทเรียนที่สำคัญ

    วันนั้นเขาเข้าไปที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อไปถึงแทนที่พนักงานบริษัทจะให้เขาขึ้นไปพบกับผู้วางแผนโฆษณา กลับก็ให้เขานั่งรอที่ห้องล็อบบี้ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พนักงานบริษัทก็ลงมาบอกกับเขาอย่างห้วน ๆ ว่าวันนี้เจ้านายไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกในตอนนั้นของเขาคือ “เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ...รู้สึกด้อยค่ามากเลย”

    เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างนั้น เพราะตอนที่เขาเป็นบก.นิตยสารชื่อดังนั้น ใคร ๆ ก็เกรงใจเขา ปีใหม่ก็มีคนเอากระเช้าของขวัญมาให้มากมาย แต่ทันทีที่เขามาเป็นบก.นิตยสารออกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นความเจ็บปวดมิใช่น้อยที่เขาพบว่า“ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึ่ง”

    หลังจากความขุ่นเคืองจางคลาย เขาก็ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่เขาประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป การถูกเมินเฉยทำให้เขาเห็นตัวเองอย่างที่เป็นจริง เขาพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของเราจริง ๆ นั่นคือเราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย”

    การเป็นบก.นิตยสารชั้นนำทำให้เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะใคร ๆ ก็เข้าหา แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวโขนที่เขาสวมต่างหาก ทันทีที่ถอดหัวโขน ผู้คนก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป จนกว่าเขาจะมีหัวโขนใหม่ที่ดูดีไม่น้อยกว่าเดิม

    บนเวที แม้นว่าพระรามหรือทศกัณฐ์ จะมีฤทธานุภาพสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชมมากมายเพียงใด ผู้แสดงทุกคนย่อมรู้ดีว่า บทบาทหรือหัวโขนที่ตนสวมใส่ต่างหากที่สะกดผู้คนเอาไว้ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ ดังนั้นเมื่อการแสดงสิ้นสุด ได้เวลาถอดหัวโขน ผู้เล่นทุกคนย่อมพร้อมที่จะกลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาที่กลืนหายไปกับฝูงชน

    แต่ในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อยหาได้ตระหนักไม่ว่า เป็นเพราะหัวโขนที่ตนสวมใส่ อันได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้ผู้คนยำเกรง ดังนั้นเมื่อพ้นตำแหน่งหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำใจไม่ได้เมื่อพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับตนอีกต่อไป

    ผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อเกษียณจากราชการ กลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น รู้สึกอาลัยวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีอำนาจวาสนา เขามีชีวิตอย่างหงอยเหงานานนับปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในจังหวัดที่ตนเคยพ่อเมือง เขาดีใจมากและเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อไปร่วมงาน ปรากฏว่าบริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมเขา กลับไปแห่แหนผู้ว่าคนใหม่ แม้แต่คหบดีในจังหวัดที่เคยพินอบพิเทาเขา ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง นับแต่วันนั้นเขาก็เศร้าซึมหนักขึ้น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เพลิดเพลินหลงใหลในคำแซ่ซร้องสรรเสริญของผู้คน เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะบทบาทหรือหัวโขนที่เขาสวมใส่มากกว่าอะไรอื่น ไม่ช้าก็เร็วบทบาทหรือหัวโขนนั้นก็ต้องปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นใครที่หลงใหลเพลิดเพลินย่อมอยู่เป็นทุกข์สถานเดียว

    ตำแหน่งหน้าที่หรือยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่มันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเรายึดติดหวงแหนมัน เช่นเดียวกับหัวโขน มันเป็นสิ่งสมมติและเป็นของชั่วคราว ยิ่งยึดติดถือมั่นในมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป

    เมื่อใดที่พอใจในความเป็นตัวเราโดยไม่แคร์หัวโขนใด ๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/Image255401.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    เพียงคำว่า “แค่”
    ภาวัน
    ชายผู้หนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมานานหลายเดือน รูปร่างผอมซีดเพราะน้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ หมอซักถามอาการได้สักพักก็สั่งเจาะเลือด

    เมื่อผลตรวจเลือดมาถึง หมอก็แจ้งแก่คนไข้ว่า เขาเป็นเบาหวาน
    ทันทีที่รู้ผล เขายิ้มหน้าบานจนเกือบจะลิงโลดด้วยซ้ำ หมอแปลกใจจึงถามเขาว่า

    “ทำไมลุงถึงดีใจล่ะครับ เป็นเบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตนะครับ”
    “ทีแรกผมนึกว่าจะเป็นเอดส์ แต่พอรู้ว่าเป็นแค่เบาหวาน ก็เลยดีใจมาก”

    เบาหวานเป็นโรคร้าย ใครเป็นก็ถือว่าโชคร้าย แต่ชายผู้นี้กลับดีใจที่เป็นเพราะเขาคิดว่าจะต้องเจอหนักกว่านั้น สุขหรือทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจออะไร แต่ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของเรา ได้รางวัลเป็นเงินแสนแต่คาดหวังเงินล้าน ก็ย่อมเป็นทุกข์ ในทางตรงข้ามแม้เป็นเบาหวานแต่ใจคาดว่าจะเป็นเอดส์ ก็กลับทำให้ยิ้มได้

    โรคร้ายกลายเป็นเบาเมื่อเทียบกับโรคที่ร้ายกว่า เด็กหญิงผู้หนึ่งเป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงทั้งศีรษะเพราะผ่านการฉายแสง แต่เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนคนมาเยี่ยมแปลกใจ คุยกันได้สักพักเธอก็บอกว่า เธอโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ญาติของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งชนิดนั้น เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เธอจึงรู้สึกว่าโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง

    คนเราจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่มุมมองเป็นสำคัญ มุมมอง(รวมทั้งความคาดหวัง)เป็นตัวสำคัญที่บ่งชี้หรือตีค่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ดีหรือร้าย เบาหรือหนัก น้อยหรือมาก เมื่อปีที่แล้วหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการเผาศูนย์การค้าหลายแห่ง ร้านสุกี้ชื่อดังพลอยฟ้าพลอยฝน ถูกเผาไป ๔ สาขา เสียหายหลายสิบล้านบาท ผู้จัดการสาขาและพนักงานทั้งเสียใจและโกรธแค้น ตรงข้ามกับซีอีโอซึ่งมีหุ้นใหญ่ในกิจการดังกล่าวกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับข่าวคราวดังกล่าว ซ้ำยังปลอบใจลูกน้องว่า "ไม่เป็นไรเรายังมีอีกตั้ง ๓๒๐ สาขา"

    ซีอีโอผู้นี้ยิ้มได้กับเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะมองว่า ร้านของเขาถูกเผาไปแค่ ๔ สาขาเท่านั้น นี้ก็ทำนองเดียวกับเด็กหญิงวัย ๑๔ ที่มองว่าตัวเองเป็นแค่มะเร็งสมอง หรือลุงที่ดีใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นแค่เบาหวาน แม้เจอเรื่องร้ายแต่ทั้งสามคนไม่เป็นทุกข์เพราะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังเบาอยู่ เขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีคำว่า "แค่" ติดมาด้วย

    เพียงคำว่า "แค่"คำเดียวก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ดูเบาลงไปและบรรเทาความทุกข์ของเราไปได้เยอะ แต่บ่อยครั้งเรามักลืมคำ ๆ นี้ไปในยามที่ประสบเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่สมหวัง แต่กลับนึกถึงคำ ๆ นี้เวลาประสบโชคหรือได้รับสิ่งที่น่าพอใจ เช่น "เขาชมฉันแค่นี้เอง" "ฉันได้โบนัสแค่ ๔ แสนเท่านั้น" "ฉันได้เป็นแค่ผู้จัดการฝ่าย" ผลที่ตามมาคือความทุกข์เกาะกินใจ

    ชายผู้หนึ่งได้ทราบว่ามิตรอาวุโสขายหุ้นได้กำไร ๑๐ ล้านบาทเมื่อ ๒-๓ วันก่อน เขาจึงแสดงความยินดีกับเธอด้วย แต่คุณป้าผู้นั้นกลับตอบว่า "ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ ฉันก็ได้กำไรแล้ว ๒๐ ล้าน" วันรุ่งขึ้นคุณป้าผู้นี้ไม่มาตลาดหุ้นเหมือนเคย ชายผู้นี้จึงไปสอบถามโบรคเกอร์ซึ่งคุ้นเคยกับเธอ ก็ได้ความว่าเธอเข้าโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อเช้า สาเหตุก็เพราะเธอเครียดมาก

    คุณป้าเครียดก็เพราะเป็นทุกข์ที่ได้กำไร "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น จะว่าไปเงินก้อนนี้มิใช่จำนวนน้อย ๆ พอ ๆ กับถูกลอตเตอรี่รางวัลที ๑ โชคลาภอย่างนี้ใครได้ไปก็น่าจะมีความสุข แต่พอมองไม่ถูก วางใจไม่เป็น เห็นว่ามันเป็น "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น ก็เป็นทุกข์ทันที

    คำว่า "แค่" คำนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก มันสามารถสร้างทุกข์หรือปัดเป่าความกลัดกลุ้มไปจากจิตใจของเราได้ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร หากใช้ให้เป็น เราก็สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้โดยใจไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากสูญเสียของรัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์

    เมื่อเจอเหตุร้ายคราวหน้า อย่าลืมนึกถึงคำนี้ เพียงเติมคำว่า "แค่" ไว้ข้างหน้าเหตุร้ายเหล่านั้น เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นเบาไปได้ในความรู้สึกของเรา
    :- https://visalo.org/article/Image255408.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    ของดีไม่มียี่ห้อ
    ภาวัน
    เช้าวันหนึ่ง “ชอุ่มศรี”กับ “หนวดน้อย” มาเยี่ยม ทั้งคู่เพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย แถมหิ้วของมาฝากด้วย เป็นกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลมีล้อลาก รูปทรงเรียบ ๆ ธรรมดา แต่ชอุ่มศรีภาคภูมิใจมากที่นำของชิ้นนี้มาฝากเพื่อน เพราะเป็นกระเป๋าที่ใช้งานได้ดีมาก ด้านหน้ามีหลายชั้น เหมาะสำหรับใส่โน้ตบุ๊คและเอกสาร ด้านในใส่เสื้อผ้าและของจิปาถะได้มากมาย ส่วนซิปก็รูดได้ลื่นมาก เช่นเดียวกับล้อลากที่แค่ออกแรงเบา ๆ ก็เคลื่อนตัวอย่างรื่นเรียบและเงียบกริบ นอกจากนั้นวัสดุที่ใช้ยังทนมากด้วย

    ชอุ่มศรีบอกว่ากว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ได้ต้องเข้าแถวยาวทีเดียว แต่นั่นยังไม่แปลกเท่ากับที่เธอบอกว่า กระเป๋าใบนี้ไม่มียี่ห้อ สำรวจดูก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ หาเท่าไรก็ไม่เจอโลโก้ เครื่องหมายการค้า หรือตัวอักษรที่บ่งบอกยี่ห้อ อดพิศวงไม่ได้ว่าสินค้าไม่มียี่ห้ออย่างนี้ขายดีได้อย่างไร
    แล้วหนวดน้อยก็เสริมว่ากระเป๋าใบนี้ซื้อมาจากร้าน “มูจิ” ซึ่งย่อมาจากข้อความว่า “มูจิรูชิ เรียวฮิน” แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “ของดีไม่มียี่ห้อ” เขายังบอกอีกว่าตอนนี้สินค้าจากร้านนี้ขายดีมาก เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่กระเป๋าเท่านั้น แต่รวมถึงของใช้จิปาถะ

    สินค้าไม่มียี่ห้อ ไม่เคยเห็นโฆษณาหรือแม้แต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอย่างนี้น่ะหรือ ที่ขายดีไปทั่วโลก เราอดคิดในใจไม่ได้ แต่เมื่อค้นข้อมูลผ่าน google ก็พบว่า ปัจจุบันมูจิมียอดขายปีหนึ่งหลายพันล้านบาท นอกจากเชนสโตร์ในญี่ปุ่นเกือบ ๓๐๐ แห่งแล้ว ยังมีสาขาในอีก ๑๖ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย มูจิเป็นกิจการที่เติบโตเร็วมาก ปัจจุบันผลิตสินค้าถึง ๗,๐๐๐ ชนิด

    ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้สินค้าแบรนด์เนม มูจิเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ตั้งแต่ถือกำเนิด
    เมื่อปี ๒๕๒๓ ผู้ก่อตั้งมีปณิธานแน่วแน่ว่าสินค้าของตนจะไม่มียี่ห้อหรือโลโก้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งไม่มีการทุ่มทุนโฆษณาเหมือนสินค้าอื่น ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะต้องการทวนกระแสบริโภคนิยมที่กระตุ้นให้คนเสพทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งยี่ห้อหรือภาพลักษณ์ เมื่อไม่ต้องเสียเงินมหาศาลไปกับการโฆษณา ก็ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง อันเป็นความตั้งใจอีกประการหนึ่งของผู้ก่อตั้ง
    จุดเด่นอีกอย่างของมูจิ คือการใช้แพ็คเก็จอย่างง่าย ๆ นอกจากเพื่อประหยัดต้นทุนแล้ว ยังเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย สำนึกดังกล่าวยังถ่ายทอดลงไปในกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายด้วย

    รูปทรงของสินค้าจากมูจินั้นเรียบง่ายมาก จนบางคนมองว่าเชย แต่นี้คือหัวใจของมูจิก็ว่าได้ เพราะมูจิต้องการเน้นคุณภาพมากกว่ารูปแบบ ใครที่ใช้ของมูจิย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องชมว่าเป็นของดีจริง ๆ อย่างไรก็ตามแม้รูปแบบจะแสนธรรมดา แต่ก็แฝงความงดงามเอาไว้ ไม่ต่างจากภาพเซนที่ตวัดด้วยหมึกดำไม่กี่เส้น แต่ก็สวยงามตรึงใจผู้ดู จะว่าไปแล้วเซนมีอิทธิพลต่อผู้ก่อตั้งมูจิไม่น้อยเลย ดังเขากล่าวว่าการดีไซน์สินค้าของมูจิถือหลักเรียบง่ายแบบเซน

    ทั้ง ๆ ที่ไม่มียี่ห้อหรือโลโก้ แต่สินค้าจากมูจินั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากไหน เพราะรูปทรงนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะว่าไปแล้วทั้งรูปแบบและคุณภาพก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น“ของดีไม่มียี่ห้อ”

    ถึงไม่มียี่ห้อก็เป็นของดีได้ นี้คือ “สาร”จากมูจิที่เตือนใจผู้คนได้ดีมาก โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนหมกมุ่นหลงใหลในยี่ห้อ จนเข้าใจไปว่ายี่ห้อกับของดีเป็นสิ่งคู่กัน ถึงกับพากันไขว่คว้าหาสินค้ายี่ห้อดัง ๆ มาใช้ หรือไม่ก็มองว่าคนที่ใช้สินค้ายี่ห้อดังต้องเป็นคนเก่งฉลาดหลักแหลม

    จะว่าไปแล้วมิใช่แต่ยี่ห้อสินค้าเท่านั้น เรายังหลงใหลติดยึดยี่ห้อของผู้คนอีกด้วย เจอใครที่มียี่ห้อดี เช่น เป็นผู้จัดการ เป็นด็อกเตอร์ หรือเป็นหมอ ก็สรุปล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนดีมีคุณภาพคับแก้ว แต่ถ้าเจอชาวบ้าน คนกวาดขยะ แม่ค้า ก็มักมองว่าเขาเป็นคนไม่น่าคบหา หรือไม่ฉลาด

    มูจิยังบอกอีกว่า ของดีไม่มียี่ห้อก็ยังขายดีได้ รูปแบบภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพภายใน แทนที่จะมัวเติมแต่งรูปลักษณ์ ไม่ดีกว่าหรือหากจะมาใส่ใจกับคุณภาพไม่ว่าของสินค้าหรือตัวคน
    หากจุดมุ่งหมายของยี่ห้อคือการประกาศตัวตน มูจิก็เป็นตัวอย่างดีที่ชี้ว่าการประกาศตัวตนที่ดีที่สุดนั้น มิใช่ด้วยถ้อยคำ แต่ด้วยคุณภาพภายใน ถ้าเป็นของดีจริง ๆ คนอื่นย่อมรู้วันยังค่ำ

    ของดีไม่ต้องพึ่งยี่ห้อหรือโฆษณาฉันใด คนดีคนเก่งก็ไม่จำต้องโอ้อวดโฆษณาตัวเองฉันนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255304.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2025 at 23:47
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    คิดบวก
    ภาวัน

    ทุกวันนี้ “คิดบวก” กำลังเป็นที่นิยมมาก แต่เราหมายความว่าอย่างไรเวลานึกถึงคำนี้ ความหมายหนึ่งก็คือ การคาดการณ์อนาคตในแง่ดี มองเห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า หน่วยงานหลายแห่งถึงกับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในการวางแผน คือ ตั้งเป้าที่สวยหรูเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังใจในการทำงาน บางคนถึงกับเชื่อว่า ถ้านึกถึงสิ่งดี ๆ สิ่งนั้นก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับตนได้

    แต่ปัญหาที่เกิดจากวิธีคิดแบบนี้ก็คือ หากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ก็จะตั้งรับไม่ทัน หลายคนวาดหวังว่าชีวิตจะต้องราบรื่น ก้าวหน้าและเปี่ยมสุข แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก็ล้มทรุดทันทีทั้ง ๆ ที่มะเร็งยังอยู่ในระยะแรก

    นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยทำงานอย่างเล็งผลเลิศ มองเห็นอนาคตสดใส จึงเดินหน้าเต็มที่โดยไม่คิดเผื่อทางอื่นไว้เลย พอสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีแผนสองไว้รองรับ

    การตั้งเป้าไว้สวยหรูนั้น ยังมีผลเสียตรงที่ ดึงดูดให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับการทำให้ถึงเป้า จนลืมเรื่องอื่นที่มีความสำคัญต่อชีวิต ผลก็คือ แม้ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ก็สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไป มีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่า เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีเงิน ๑ ล้านเหรียญก่อนอายุ ๔๐ แล้วเขาก็ทำได้ในที่สุด แต่ปรากฏว่าเขาต้องหย่าขาดจากภรรยา มีปัญหาสุขภาพ ซ้ำลูกยังไม่คุยกับเขาอีกด้วย

    จะดีกว่าไหมหากเรามองอนาคตในแง่ลบไว้บ้าง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่อาจควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ แม้วันนี้ชีวิตจะราบรื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะราบรื่นเหมือนวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร จึงควรเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่สำเร็จอย่างที่วาดหวัง

    การมองว่าในอนาคตเราอาจเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย การงานล้มเหลว มีปัญหาการเงิน หลายคนมองว่าเป็น “ลาง”ไม่ดี แต่ที่จริงมันเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต และไม่หลงเพลินในความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่อาจมาถึง และหาทางป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นหากอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ รวมทั้งเร่งทำสิ่งที่ควรทำแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

    นี้เป็นวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใช้สอนพระภิกษุและคฤหัสถ์ กล่าวคือ ทรงแนะให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากสูญเสียจากของรักของชอบใจ อยู่เนือง ๆ ในบางครั้งทรงแนะให้พระภิกษุระลึกถึงอนาคตภัย ๕ ประการ คือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ข้าวยากหมากแพง ความไม่สงบในบ้านเมือง และความแตกสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เร่งทำความเพียรในขณะที่ยังมีชีวิตสุขสบาย

    เวลาไปฟังผลตรวจร่างกายจากหมอ หลายคนวิตกกังวลว่าจะเจอข่าวร้าย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าตั้งสติให้ดี แล้วนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น เช่น เป็นมะเร็ง ลองทำใจให้คุ้นกับความคิดนึกดังกล่าวสักพัก ยอมรับความกลัวที่เกิดขึ้น แล้วจะพบว่าเราสามารถรับฟังคำวินิจฉัยของหมอด้วยใจที่สงบมากขึ้น สุดท้ายแม้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็จะยอมรับความจริงนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเผื่อใจเอาไว้แล้ว

    ถึงตรงนี้แหละที่ “คิดบวก”ในอีกความหมายหนึ่งเป็นประโยชน์แก่เรา นั่นคือการมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย มีบางคนบอกว่าโชคดีที่รู้แต่เนิ่น ๆ ทำให้มีเวลารักษาตัวเองก่อนที่มันจะลาม หลายคนบอกว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ จึงได้พบกับความสุขที่แท้

    ในทำนองเดียวกัน การเห็นสิ่งดี ๆ ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งแย่ ๆ ก็ทำให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ ดังหลายคนบอกว่า ถึงแม้กายจะป่วย แต่ก็ยังเห็นสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว

    การมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย และการเห็นสิ่งดี ๆ ที่อยู่รายรอบสิ่งแย่ ๆ เป็นการคิดบวกที่ช่วยให้เราอยู่กับความทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/Image255603.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    อย่าลืมเก็บของดีติดมือ
    ภาวัน
    เช้าวันหนึ่งขณะที่จอห์น โรเจอร์สจูงหมาออกไปเดินเล่น จู่ ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งก็เข้ามากระแทกเขาที่ด้านหลัง ผลักเขาล้มลง แล้วกระหน่ำแทงตามลำตัวอย่างไม่ยั้งรวม ๔๐ แผล จากนั้นก็ทิ้งเขาให้นอนจมกองเลือด เดชะบุญที่มีคนช่วยเขาพาส่งโรงพยาบาลได้ทัน

    เขามารู้ภายหลังว่าหญิงคนนั้นฆ่าผู้ชายตายไปแล้ว ๓ คนภายในเวลาแค่ ๑๐ วัน อีกคนปางตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเรื่องโกรธแค้นเป็นส่วนตัวเลย หลังจากที่เขามีอาการดีขึ้นแล้ว มีนักข่าวถามว่า เขาอยากพูดอะไรกับหญิงคนนั้น เขาตอบว่า “ผมอยากถามว่า ทำไมต้องทำอย่างนี้? กรุณาบอกผมด้วย” ครั้นนักข่าวถามต่อว่า เหตุการณ์วันนั้นทำให้การดำเนินชีวิตของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่

    คำตอบของเขาก็คือ “ตอนนี้ผมได้คิดแล้วว่า วันหนึ่งผมอาจตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินอยู่ดี ๆ แล้วโดนรถเมล์แล่นทับตายก็ได้ เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ฉะนั้นพยายามทำสิ่งที่ดีสุดทุกวันดีกว่า ”

    คนจำนวนไม่น้อยหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ นอกจากจะโกรธแค้นมือมีดแล้ว ย่อมอดไม่ได้ที่จะก่นด่าชะตากรรม ตีโพยตีพาย หรือคร่ำครวญว่า ทำไมถึงเคราะห์ร้ายอย่างนี้ กลายเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวด ย้อนรำลึกเมื่อใด ก็รู้สึกหวาดผวาเมื่อนั้นเสมือนฝันร้าย

    มุมมองเช่นนี้ย่อมทำให้เป็นทุกข์ และไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่การที่ชายผู้นี้มองอีกมุมหนึ่ง นอกจากเขาจะไม่ทุกข์เพราะถูกความโกรธแค้นพยาบาทเผาลนใจแล้ว ยังได้แง่คิดจากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และเห็นคุณค่าของทุกวันที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพราะความตายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

    มองในแง่นี้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำจากเหตุการณ์ดังกล่าวเท่านั้น แต่เขายังได้ประโยชน์จากมันด้วย ท่ามกลางความสูญเสียเจ็บปวด เขาก็ได้ “กำไร”จากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย คือได้ข้อคิดเตือนใจ ซึ่งจะช่วยให้เขาใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่

    เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับเรานั้น หากวางใจไม่ถูก หรือมองไม่เป็น ก็มีแต่เสียสถานเดียว แต่ถ้าวางใจเป็น แม้เสียทรัพย์หรือเสียสวัสดิภาพ แต่ก็ยังได้บางสิ่งบางอย่างที่มีคุณค่าเป็นสิ่งตอบแทน

    เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ผู้คนสูญเสียทรัพย์สมบัติมากมายไปกับสายน้ำ ที่สิ้นเนื้อประดาตัวก็มีไม่น้อย หลายคนเศร้าโศกเสียใจนานนับเดือน บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย แต่มีหญิงผู้หนึ่งทำใจได้ เธอบอกว่าน้ำท่วมคราวนี้สอนให้เธอรู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยแม้แต่อย่างเดียว มันอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น สักวันหนึ่งมันก็ไปจากเรา

    สำหรับหญิงผู้นี้ เธอเพียงแต่เสียทรัพย์ แต่ก็ได้สัจธรรมมาเป็นเครื่องเตือนใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เธอทำใจได้กับเหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เธอสามารถรับมือกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย

    เหตุร้ายต่าง ๆ นั้น แม้จะทำให้เราต้องสูญทรัพย์ เสียคนรัก ล้มป่วย หรือพิการ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตามมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจหรือเจ็บปวดเสมอไป เราสามารถรักษาใจให้ไม่ทุกข์ได้หากรู้จักมองเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ซ้ำเติมตัวเอง

    ผู้คนเป็นอันมากเมื่อเกิดเหตุร้ายแล้วก็ซ้ำเติมตัวเอง แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ก็ป่วยใจตามไปด้วย แทนที่จะเสียทรัพย์อย่างเดียว ก็เสียใจระทมทุกข์ซ้ำเข้าไปอีก ครั้นตรอมตรมมาก ๆ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็เสียสุขภาพตามมา แล้วก็เสียงานเสียการ เท่านั้นไม่พอ เมื่อเผลอระบายอารมณ์บูดใส่คนรอบข้าง ก็ทำให้เสียสัมพันธภาพอีก กลายเป็นว่าแทนที่จะเสียอย่างเดียว คือ เสียทรัพย์ กลับเสียหลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่มีคุณค่าทั้งสิ้น

    ใครจะทำร้ายหรือเอาเปรียบเราก็แล้วแต่ ล้วนเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นมาก็คือ อย่าซ้ำเติมตัวเอง อย่างน้อยก็ควรรักษาใจให้ไกลทุกข์ ดียิ่งกว่านั้นก็คือ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ หรือหาประโยชน์จากมันให้ได้
    “คนเราเมื่อล้มแล้ว (ก่อนจะลุก)ต้องหยิบอะไรขึ้นมาสักอย่าง” เป็นคติเตือนใจของออสวอลด์ อเวอรี นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งทำให้เขาไม่เคยท้อแท้เมื่อประสบความล้มเหลว ซ้ำยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากความล้มเหลวทุกครั้ง

    ไม่ใช่แต่ความล้มเหลวเท่านั้น แม้เหตุการณ์เลวร้ายอื่น ๆ ที่เกิดกับเรา ล้วนมีของดีให้เราหยิบติดมือก่อนจะลุกขึ้นมาเสมอ

    :- https://visalo.org/article/Image255707.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,251
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    พลังแห่งสติ
    ภาวัน
    ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา สุทธิศาสตร์ต้องไปฝึกงานด้านสังคมสงเคราะห์ เขาอยากไปทำงานกับองค์กรชาวบ้านในภาคอีสาน แต่อาจารย์ต้องการให้เขาไปเรียนรู้จากหน่วยงานราชการ เขาพยายามชี้แจงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า งั้นไปฝึกงานสงเคราะห์ชาวเขาในภาคเหนือก็แล้วกัน

    แต่เมื่อเดินทางไปถึงเชียงใหม่ เขาจึงทราบว่าสถานฝึกงานที่อาจารย์ติดต่อให้เขา คือกรมประชาสงเคราะห์ ไม่ใช่เอ็นจีโออย่างที่ตกลงกัน เขาโมโหมาก ขุ่นมัวกับเรื่องนี้ทั้งวัน ตกค่ำก็ยังไม่หายคับข้องใจ วันรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษามาหาเขา เขาจึงระบายความโกรธใส่อาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย แต่เขาไม่สนใจ อาจารย์พยายามอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง มีช่วงหนึ่งอาจารย์ทักเขาว่า “สุทธิศาสตร์ คิ้วของเธอผูกเป็นโบว์เลยนะ”

    ได้ยินเท่านี้เขาก็ชะงัก คำพูดของอาจารย์ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโกรธ ทันทีที่เห็นความโกรธพลุ่งพล่านในใจ ความโกรธก็หลุดหายไปทันที เกิดความรู้สึกโปร่งเบา แตกต่างจากความรู้สึกเมื่อสักครู่อย่างชัดเจน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาประจักษ์ชัดถึงพลังแห่งสติว่าสามารถปลดเปลื้องอารมณ์ไปจากใจได้อย่างน่าอัศจรรย์

    แม้ความโกรธเผาลนจิตใจเป็นวันเป็นคืน แต่ผู้คนทั้งหลายหารู้ตัวไม่ เพราะใจนั้นพุ่งออกไปยังบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตนไม่พอใจ คิดแต่จะตอบโต้เขาด้วยคำพูดและการกระทำ ในยามนั้นใจไม่ได้หันกลับมามองตนเลย จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกความโกรธครอบงำ สุทธิศาสตร์ก็เช่นกัน หลงปล่อยให้ความโกรธเล่นงานข้ามวันข้ามคืนโดยไม่รู้ตัว ต่อเมื่อถูกอาจารย์ทัก จึงค่อยรู้ว่าเผลอโกรธไปตั้งนาน หากไม่รู้ตัว เขาคงระบายไม่หยุดและเป็นทุกข์อีกนาน

    ความโกรธทำให้ลืมตัว และความลืมตัวทำให้โกรธหนักขึ้น จนสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ตนเองอาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน นอกจากจราจรหน้าโรงเรียนจะแน่นขนัดแล้ว ที่จอดรถในโรงเรียนยังหาได้ยากด้วย มีผู้ปกครองคนหนึ่งเลี่ยงปัญหานี้ด้วยการแหกกฎ ขับรถเข้าทางประตูออก จึงไม่ต้องเสียเวลาจอดออที่ประตูเข้า แถมยังได้ที่จอดรถอย่างง่ายดาย

    บังเอิญนั่นเป็นที่จอดรถสุดท้ายที่เหลืออยู่ ผู้ปกครองอีกคน ซึ่งควรจะได้ที่จอดรถนั้นเพราะขับตามกฎของโรงเรียน ไม่พอใจที่ถูกแย่งที่จอดรถไปต่อหน้าต่อตา จึงลงจากรถไปต่อว่าเขา โดยหารู้ไม่ว่าชายผู้นั้นเป็นนายทหารยศพันเอก ฝ่ายหลังนั้นไม่เคยถูกต่อว่าเช่นนี้มาก่อน จึงโกรธมาก ถามกลับไปว่า “รู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร” คำตอบที่ได้รับคือ “ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร แต่คุณทำผิดกฎของโรงเรียน ทำอย่างนี้ไม่ถูก” พูดเสร็จ เขาก็เดินกลับไปที่รถของตน

    นายทหารผู้นั้นโกรธจัด คว้าปืนจากรถแล้วเดินตามผู้ปกครองคนนั้นไป หมายจะยิงให้หายแค้น โดยอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตน

    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของพนักงานขับรถคนหนึ่งของโรงเรียน เขาเห็นท่าไม่ดี จึงเข้าไประงับเหตุร้าย แต่เขารู้ดีว่าหากทะเล่อทะล่าเข้าไป อาจกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายแทนก็ได้ สิ่งที่เขาทำก็คือ เดินไปหานายทหารผู้นั้น สัมผัสที่แขนแล้วพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ท่านครับ ท่านมารับลูกไม่ใช่หรือครับ”

    พอได้ยินคำว่า “ลูก” เขาก็ได้สติขึ้นมาทันที ความโกรธพลันหายไป ครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังจะทำอะไรลงไป เขาก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปที่รถ เอาปืนไปเก็บ แล้วเดินไปรับลูก จึงรอดพ้นจากการเป็นอาชญากรไปได้อย่างหวุดหวิด

    ความโกรธกับสติ เป็นคู่ตรงข้ามกัน ถ้าไม่มีสติ ความโกรธก็รังควานจิตใจได้ง่าย แต่ถ้ามีสติเมื่อใด ความโกรธก็อยู่ไม่ได้ บุคคลในเรื่องทั้งสองได้สติก็เพราะมีคนช่วยทักช่วยเตือน แต่คนเราไม่ได้โชคดีไปตลอด หากไม่มีคนช่วยทักช่วยเตือน ทำอย่างไรความโกรธจะไม่ครอบงำจนเผลอทำสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง คำตอบก็คือ ต้องพัฒนาสติของตัวเองให้ทำงานได้ทันท่วงที

    ด้วยเหตุนี้เองเมื่อสุทธิศาสตร์เรียนจบ เขาจึงตัดสินใจออกบวชเพื่อฝึกสติให้เจริญงอกงาม เขาได้พบกับความสงบเย็น อารมณ์ไม่ผันผวนขึ้นลงเหมือนก่อน ผ่านไปสิบปีแล้วเขาก็ยังมีความสุขอยู่ในผ้าเหลือง

    แต่เราไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ เพียงแค่หมั่นดูใจของตนอยู่เสมอ ทำอะไรใจก็อยู่กับสิ่งนั้น ใจลอยไปไหน ก็รู้ แล้วกลับมาอยู่กับสิ่งนั้น ทำบ่อย ๆ สติก็จะว่องไวปราดเปรียว ช่วยคุ้มกันใจ ไม่ให้อารมณ์ใด ๆ ครอบงำ เพียงเท่านี้ ความสงบเย็น โปร่งโล่งเบาสบาย จะกลายเป็นเรื่องง่าย แม้รอบตัววุ่นวายเพียงใดก็ตาม
    :- https://visalo.org/article/Image255612.html


     

แชร์หน้านี้

Loading...