บทความให้กำลังใจ(รวยให้เป็น)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    BuddhaAndOneMan.jpg
    มหัศจรรย์ของชีวิตขาลง
    By : รินใจ
    หลังจากเกษียณจากราชการก่อนกำหนด ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นคือเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม ๑,๕๐๐ กิโลเมตร

    ตลอด ๖๖ วันของการเดินทาง เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์

    เขาเล่าว่าขณะที่เดินขึ้นดอยอินทนนท์นั้น รู้สึกเหนื่อยมาก ความย่ำแย่ของสภาพร่างกายที่สะสมมากหลายวันทำให้เกือบจะถอดใจเพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด

    ขากลับเขาเดินลงมาช้า ๆ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าสองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็นทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว

    ระหว่างเดินลงเขาได้หยุดดูทิวทัศน์อันกว้างไกล และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบานและเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม “มหัศจรรย์” คือความรู้สึกของเขาเมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา

    “ขาลง”นั้นมีเสน่ห์แต่มักถูกมองข้าม คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ “ขาขึ้น”มากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงามที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต

    ใคร ๆ ก็อยากให้ชีวิตของตนอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะหวังจะได้เสพได้ครอบครองอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คนที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง แถมยังหงุดหงิดหากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง

    ความเหนื่อยอ่อนบอบช้ำของประมวลยามเดินขึ้นเขา คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึงเพราะหมดแรงเสียก่อน ต้องพักรักษาตัวกว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคนก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้

    อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้นไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าสองข้างทางนั้นก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา ประมวลมาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา แต่ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป ในช่วงขาขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ตามรายทางบ้าง

    ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ

    จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ

    แต่ถึงจะพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยังไม่สาย เพราะขาลงเราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจแก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัยความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึงประสบการณ์อันตราตรึงใจบนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทางในยามขาลงได้อย่างไร

    ขาลงไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าเศร้า หากเราเดินลงอย่างช้า ๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจจะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้นหรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง

    ในยามนี้แหละที่เราอาจพบกับ “มหัศจรรย์” ของชีวิต ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254908.htm

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    รื่นรมย์บนผาสูง
    รินใจ
    bhutan01.jpg
    ปาโรเป็นประตูสู่ภูฐานที่สามารถสะกดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างชะงัด จากดินแดนแห่งความแน่นขนัดอึกทึกวุ่นวายและเร่งรีบในหลายมุมโลก พอออกจากสนามบินปาโร ทุกคนจะได้สัมผัสกับหุบเขาและทุ่งกว้างที่เงียบสงบ มีธารน้ำไหลเอื่อย พอ ๆ กับชีวิตที่เนิบช้าของผู้คน ฟ้าสวย แดดใส อากาศบริสุทธิ์ คือสิ่งที่ปรากฏแก่เราอย่างแจ่มชัดในเช้าวันแรกที่ภูฐาน

    ปาโรเป็นหุบเขาที่งดงาม มีบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ในทุ่งราบเขียวสด บ้านเรือนเหล่านี้มิได้เป็นกระท่อมอย่างที่พบเห็นในชนบทส่วนใหญ่ หากเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างอย่างมั่นคงแน่นหนา ทั้งยังมีลวดลายศิลปะงดงามโดยเฉพาะที่ขอบหน้าต่างชั้นบน แม้ว่าศิลปะเช่นนี้มีให้เห็นทั่วภูฐาน แต่ที่ปาโรนั้นมีลักษณะโดดเด่นกว่า กล่าวกันว่าหากต้องการเห็นบ้านเรือนที่สวยงามที่สุดในประเทศต้องมาดูที่หุบเขาปาโร

    ปาโรอยู่ห่างจากทิมพู เมืองหลวงภูฐาน ประมาณ ๕๐ กม. แต่ปาโรเป็นมากกว่าปากทางสู่ราชธานี แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากในทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เชื่อกันว่าปาโรเป็นสถานที่แห่งแรก ๆ ที่รับเอาพุทธศาสนาเข้ามา นอกจากนั้นปาโรยังมีป้อมโบราณที่งดงาม ป้อมที่เรียกว่า “ซ่ง”นี้เป็นเอกลักษณ์ของภูฐาน เพราะนอกจากเป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครองของพื้นที่โดยรอบ (เปรียบได้กับศาลาว่าการจังหวัดของบ้านเรา) ยังเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ในพื้นที่ดังกล่าว (เปรียบได้กับวัดของเจ้าคณะจังหวัด) พูดง่าย ๆ คือเป็นทั้งป้อมและอารามผนวกอยู่ด้วยกัน ภูฐานมีซ่งแบบนี้อยู่ทั่วประเทศ แต่ปาโรซ่งนั้นได้รับการยกย่องว่ามีเครื่องไม้ที่งามที่สุดในภูฐาน โดยเฉพาะที่หอกลาง

    แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่ากับวัดตักซัง ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวภูฐาน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ที่แม้แต่ชาวธิเบตก็ยังดั้นด้นข้ามเขาเพื่อมาสักการะอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกวันนี้แม้กระทั่งชาวตะวันตกที่นับถือพุทธศาสนาแบบวัชรยานก็ยังหาโอกาสมาจาริกแสวงบุญที่นี่

    วัดตักซังมีความหมายอย่างมากต่อชาวพุทธนิกายวัชรยานเนื่องจากเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับท่านปัทมสัมภวะ ซึ่งเป็นผู้นำพุทธศาสนาแบบวัชรยานเผยแพร่ในธิเบตและภูฐาน ท่านปัทมสัมภวะ (หรือที่ชาวภูฐานเรียกว่า “คุรุรินโปเช”) ได้รับการสักการะจากชาวพุทธธิเบตและภูฐานประหนึ่งพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง เนื่องจากท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถปราบภูตผีปีศาจร้ายให้หันมายอมรับนับถือพุทธศาสนา ตักซังเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ท่านเคยมาบำเพ็ญสมาธิภาวนานานสามเดือนก่อนที่จะลงมาเทศนาสั่งสอนให้ชาวบ้านในหุบเขาปาโรสมาทานพุทธศาสนา

    เช่นเดียวกับสถานที่จาริกสำคัญในพุทธศาสนา วัดตักซังอยู่บนเขาสูง เหนือผาหินสีดำซึ่งตระหง่านโดดเด่นเห็นแต่ไกล เขานั้นสูงชันมองไม่เห็นทางขึ้น อดพิศวงไม่ได้ว่าขึ้นไปสร้างวัดบนนั้นได้อย่างไร เพียงแค่เดินขึ้นไปก็ยากแล้ว แต่สำหรับท่านคุรุรินโปเช ผาสูงอย่างนี้ไม่เป็นปัญหา ตำนานเล่าว่าท่านคุรุรินโปเชขี่เสือตัวหนึ่งเหาะขึ้นไปยังหน้าผานั้น

    นอนพักเอาแรงที่ปาโรหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเรากว่าสิบชีวิตก็เดินทางไปวัดตักซัง ใช้เวลาไม่นานรถก็มาจอดถึงตีนเขา ซึ่งเป็นป่าสนร่มรื่น มีม้าอยู่หลายตัวรอใช้บริการจากนักท่องเที่ยว แต่พวกเราเลือกที่จะเดินขึ้นเขา มาจาริกแสวงบุญทั้งที ควรพึ่งน้ำพักน้ำแรงของตน แม้จะลำบากเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้วจุดมุ่งหมายประการแรกของการจาริกแสวงบุญก็เพื่อสร้างความเพียรและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยากลำบาก มิใช่เพื่อทรมานตน แต่เพื่อเป็นแบบฝึกหัดในการยกจิตให้อยู่เหนือความลำบากทางกาย

    เราต้องเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา ไม่น่าเชื่อว่าเส้นทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านป่าสนและโรโดเดนดรอนนี้ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ใช้เดินตลอดเวลาพันกว่าปี มิใช่แต่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น หากรวมถึงพระราชาและนักพรตผู้ทรงคุณอีกมากมาย แต่แม้จะรองรับผู้คนเรือนล้านมาแล้ว บรรยากาศรอบเส้นทางก็ยังเงียบสงบร่มรื่นและคงสภาพป่าไว้ได้ บางช่วงมีน้ำตกน้อยและลำธารไหลผ่าน หมุนกงล้อมนตร์ให้ส่งเสียงดังเป็นระยะ ๆ

    บรรยากาศอย่างนี้เหมาะกับการเดินเจริญสติไปด้วย คือรับรู้ทุกย่างก้าว ขณะเดียวกันก็เปิดใจรับรู้ทุกสิ่งที่มากระทบ แต่ก็ไม่วอกแวกหรือคิดฟุ้งปรุงแต่ง เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบ และไม่ต้องสนใจจุดหมายปลายทาง ใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับแต่ละก้าวเท่านั้นก็พอ ยิ่งเดิน ทางยิ่งชัน ก็ยิ่งต้องเดินอย่างมีสติ ไม่เช่นนั้นจะเหนื่อยเร็ว เพราะเผลอเดินจ้ำเอา ๆ ด้วยอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ในการจาริกแสวงบุญบนเขาสูง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากความสบาย เพราะนอกจากการขนส่งสิ่งอำนวยความสะดวกจะทำได้ยากแล้ว แต่ละคนยังขนเสบียงกรังได้ไม่มาก จะเดินให้ถึงจุดหมาย จำต้องพกพาข้าวของให้น้อยที่สุด เส้นทางยิ่งสูงชัน ความสุขทางกายก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่หากเดินเป็น สิ่งที่จะได้เพิ่มขึ้นมาก็คือ ความสุขทางใจและความสุขจากธรรมชาติ เพราะได้สัมผัสกับความสงบ ทั้งความสงบทางใจและความสงบจากธรรมชาติ บ่อยครั้งที่มีแต่เราคนเดียวที่เดินอยู่บนทางแคบ ๆ กลางป่า เดินไปก็ทำน้อมใจสงบไปด้วย แต่ใครที่เอาแต่บ่น จมอยู่กับความเหนื่อยกาย หรือมัวแต่พูดคุยกัน หาไม่ก็ฟังเพลงจากเครื่อง MP3 ก็คงยากที่ใจจะเปิดรับความสุขดังกล่าวได้

    เมื่อคำนึงถึงความโดดเด่นของสถานที่ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญไปแล้ว เส้นทางที่สงบร่มรื่นและวิเวกอย่างนี้นับว่าหาได้ยากอย่างยิ่ง ใครที่เคยขึ้นเขาศรีปาทะ อันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา จะพบกับบรรยากาศที่ตรงกันข้าม ผู้คนนอกจากจะพลุกพล่าน ส่งเสียงอึกทึกแล้ว สองข้างทางยังเกลื่อนไปด้วยขยะ หาความอภิรมย์ร่มรื่นได้ยาก ส่วนพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวพุทธพม่า ก็กำลังจะเจริญรอยตามศรีปาทะอย่างน่าเป็นห่วง

    เดินไต่เขาไปได้ชั่วโมงกว่าก็จะถึงจุดพักชมวิว ซึ่งประจันหน้ากับผาสูงอันเป็นที่ตั้งของวัดตักซัง เป็นมุมที่เห็นจุดหมายปลายทางได้อย่างงดงามมาก หลายคนเลือกที่จะหยุดเดินเพียงเท่านี้เพราะมีร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อน(หรือจะนอนหลับไปเลยก็ได้) ส่วนคนที่เดินต่อนั้นจะต้องไปพบกับทางชันและวิบากยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นขอบหน้าผาสูงชันตรงข้ามวัดตักซัง ทางที่เคยชันขึ้นก็เปลี่ยนเป็นดิ่งลง ทางนอกจากจะแคบแล้วยังหวาดเสียวอย่างยิ่ง เพราะสามารถมองเห็นเหวลึกด้านข้างได้อย่างถนัดถนี่ นี้คือเส้นทางแห่งสติโดยแท้ เพราะต้องจับจ้องที่ขั้นบันไดเบื้องหน้าอย่างเดียวจึงจะเดินได้อย่างไม่หวั่นหวาด
    หลังจากเดินไต่เขาสองชั่วโมงเศษก็ถึงจุดหมาย วัดตักซังนั้นมีอาคาร ๑๓ หลังสร้างกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าผา ล้วนมีความเป็นมาเกี่ยวข้องบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูฐาน อาคารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้นสร้างตรงถ้ำที่คุรุรินโปเชเคยบำเพ็ญภาวนา ตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมามีลามะและวิปัสสนาจารย์คนสำคัญมานั่งบริกรรมในถ้ำนี้อย่างไม่ขาดสาย อาทิ มิลาเรปะ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในฝ่ายวัชรยาน จวบจนยุคปัจจุบัน ไม่ว่า ดิลโก เคนเซ รินโปเช ธรรมาจารย์ชาวธิเบตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ หรือ เชอเกียม ตรุงปะ คุรุที่ชาวตะวันตกรู้จักดีที่สุด ก็เคยทำสมาธิในถ้ำนี้มาแล้ว

    แม้ถ้ำจะมีประตูหุ้มแผ่นทองแดงปิดไว้ เปิดแค่ปีละครั้ง แต่การได้มานั่งสมาธิหน้าถ้ำตรงจุดที่ลามะคนสำคัญเคยนั่ง ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมาก เหมือนกับว่าเราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งแห่งกระแสธารทางจิตวิญญาณที่สืบสายอย่างต่อเนื่องจากอดีตอันไกลโพ้นสู่อนาคตอันเป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ง่ายที่ใครสักคนจะได้มาทำสิ่งเดียวกันและตรงจุดเดียวกันกับคุรุผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น มิลาเรปะ ซึ่งเป็นเสมือนบุคคลในตำนาน แต่แท้จริงเคยมีชีวิตมีเลือดเนื้อและเดินเหินอยู่ในถ้ำเดียวกันนี้กับเรา

    เหนือถ้ำเป็นอาคารหลายหลังซ้อนกัน เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของคุรุรินโปเช ตลอดจนพระพุทธรูปทั้งสามกาล คือ พระทีปังกร พระศากยมุนี และพระศรีอริยเมตไตรย รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปางต่าง ๆ พวกเราได้สักการะและนั่งสมาธิอยู่พักใหญ่ แม้จะมีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังรู้สึกถึงความสงบ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอวลด้วยพลังอันเป็นกุศล
    วัดตักซังมิได้เปี่ยมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณเท่านั้น หากยังให้ความรู้สึกถึงพลังทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราออกมายืนตรงระเบียงบนหน้าผาซึ่งสูงถึง ๘๐๐ เมตร ได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างไกลสุดขอบฟ้า จิตใจก็ยิ่งรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบา ไม่ต่างจากท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางของการจาริกแสวงบุญ ไม่เพียงกายเท่านั้นที่ก้าวขึ้นมาอยู่บนที่สูง ใจก็ถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่านี้คือรางวัลแห่งความเพียรที่ต้องฝ่าความยากลำบาก

    การจาริกแสวงบุญกับการปีนเขานั้นมักจะแยกจากกันไม่ออก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ต้องพูดว่า เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมักอยู่บนยอดเขาหรือชะง่อนผา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง จึงต้องประดิษฐานบนที่สูง แต่มองอีกแง่หนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนที่สูงก็เพราะเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ สำหรับชาวพุทธ อุดมคติสูงสุดก็คือพระนิพพาน อันได้แก่สภาวะที่อยู่เหนือโลก เป็นอิสระจากโลกธรรมทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน ไม่น่ายึดถือและยึดถือไม่ได้

    ในการจาริกแสวงบุญ เราต้องใช้ความเพียรอย่างมากเพื่อไปให้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสูง เมื่อต้องพบกับความยากลำบากระหว่างทาง นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนให้มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับความสุขทางวัตถุ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะฝึกใจให้สงบ ด้วยการเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิ หรือสวดมนต์ เมื่อไปถึงจุดหมาย ศรัทธาปสาทะที่เพิ่มพูน ย่อมบันดาลใจให้เกิดปีติ อิ่มเอิบ และโปร่งเบา อันเป็นสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข จะว่านี้เป็น “นิพพานน้อย ๆ” หรือ “นิพพานชิมลอง”ก็ได้

    การจาริกแสวงบุญจึงเป็นเสมือนภาพจำลองของการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็นการฝึกตนเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการก้าวไปให้ถึงจุดหมายสูงสุดดังกล่าว การจาริกแสวงบุญสู่เขาสูงจึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนควรบำเพ็ญสักครั้งหนึ่งในชีวิต

    ขากลับเราเดินผ่านชาวภูฐานหลายคนที่ทยอยกันขึ้นไปวัดตักซัง คนเหล่านี้ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่ตั้งใจไปจาริกแสวงบุญตามธรรมเนียมของชาวธิเบต ดูแล้วคงจะไม่ได้ไปเช้าเย็นกลับเหมือนพวกเรา แต่ค้างแรมด้วย แม้กระนั้นก็ไม่ได้มีสัมภาระมากมาย สะพายแค่ถุงย่ามเล็ก ๆ
    ได้ทราบมาว่าชาวภูฐานบางคนไม่ได้แสวงบุญด้วยการเดินอย่างธรรมดา แต่จาริกด้วยการกราบอัษฏางคประดิษฐ์ตามแบบวัชรยาน คือเดินสามก้าวแล้วก้มลงกราบโดยนอนราบกับพื้น นอกจากใช้เวลานานแล้วยังต้องใช้ความเพียรมากด้วย

    นักบวชภูฐานผู้หนึ่งกล่าวว่า “ทุกคนที่จาริกแสวงบุญมาถึงตักซัง จะกลับไปเป็นคนละคนทีเดียว”

    ใครที่ไปถึงตักซัง มิใช่แต่กายเท่านั้น หากใจก็ถึงด้วย ย่อมเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างแน่นอน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255308.htm


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ความทรงจำอำพราง
    พระไพศาล วิสาโล
    ความจำของคุณดีแค่ไหน ?

    ลองนึกย้อนหลังไป ๔ ปี นึกถึงเหตุการณ์ประทับใจช่วงเกิดฝนดาวตก ย้อนไปอีก ๘ ปี คุณอยู่ไหนวันที่อิรักบุกคูเวตจนหุ้นตกระนาว นึกยาวไปอีกถึงวันสนุกสุดชีวิตครั้งเป็นนักเรียน

    ถ้าความจำคุณยังดีอยู่ ลองนึกไปถึงวันแรกที่แม่พาเข้าโรงเรียน นึกต่อไปอีกถึงวันที่หัดเดิน แล้ววันที่คุณยังเป็นทารกแบเบาะ คุณจำได้ไหมว่าของเล่นที่แม่ผูกไว้เหนือเปลนั้นคืออะไร?

    ถ้าคุณยังจำของเล่นชิ้นนั้นได้ นั่นแสดงว่าคุณจำผิดแล้ว พูดให้ถูกต้องก็คือ คุณปรุงแต่งความจำนั้นขึ้นมาเอง

    แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะจำเหตุการณ์ในปีแรกของชีวิตได้ สาเหตุประการหนึ่งก็คือ สมองส่วนที่สร้างความทรงจำอันได้แก่ฮิปโปแคมปัสนั้นยังไม่เติบโตพอที่จะสะสมความจำไว้ได้นานจนสามารถดึงออกมาได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

    ถ้าเช่นนั้นเหตุใดบางคนจึงย้อนเห็นภาพตอนเป็นทารกได้ คำตอบก็คือ เพราะว่ามีคนมาช่วยเขาปรุงแต่งความจำจนนึกว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตอนเป็นทารก

    เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการนำคนกลุ่มหนึ่งมาทดลอง ผู้ทดลองได้บอกคนกลุ่มนี้ว่าพวกเขามีประสาทตาและทักษะการสำรวจภาพที่ดี สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะเกิดในโรงพยาบาลที่แขวนของเล่นหรือโมไบล์สีสวย ๆเหนือที่นอน ผู้ทดลองบอกว่าต้องการยืนยันทฤษฎีนี้ว่าจริงหรือไม่ จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ย้อนระลึกไปถึงตอนแรกเกิด เพื่อผู้ทดลองจะได้รู้ว่าเขาประสบพบเห็นอะไรบ้างตอนนั้น

    ผู้ทดลองแบ่งคนกลุ่มนี้เป็น ๒ พวก พวกแรกถูกสะกดจิตเพื่อย้อนระลึกถึงตอนแรกเกิด ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นผู้ทดลองใช้วิธีพูดนำให้ย้อนกลับไปสู่อดีต ปรากฏว่า ร้อยละ ๔๖ ของพวกแรก และร้อยละ ๕๖ ของพวกหลัง บอกว่าจำได้ว่ามีของเล่นหลากสีแขวนอยู่เหนือที่นอนของตนตอนแรกเกิด บางคนบอกว่ายังจำรายละเอียดอย่างอื่นได้อีก เช่น หมอ พยาบาล และแสงไฟ

    ความจริงก็คือคนเหล่านี้จำอะไรไม่ได้เลยตอนแรกเกิด แต่ที่นึกว่าจำได้ก็เพราะมีคนมาโน้มนำความคิดไว้ก่อนแล้ว ความคิดนี้แหละที่ไปปรุงแต่งให้เกิด “ความจำ”อันใหม่ขึ้นมาขณะที่พยายามย้อนระลึกถึงความหลังครั้งแบเบาะ

    อย่าว่าแต่ความหลังครั้งแบเบาะเลย แม้โตจำความได้แล้ว เราก็ยังสามารถเอาเรื่องไม่จริงเข้ามาปะปนกับความจำจนนึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ

    มีการทดลองที่ทำโดยอีกคณะหนึ่ง เขาได้ขอให้คนกลุ่มหนึ่งตอบว่าเหตุการณ์ ๔๐ อย่างในแบบสอบถาม มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เขาคิดว่าได้เคยเกิดขึ้นกับเขาในวัยเด็ก และเหตุการณ์ใดที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เหตุการณ์ ๔๐ อย่างมีอาทิ เจอเงิน ๑๐ เหรียญ เรียก ๑๙๑ ทำกระจกหน้าต่างแตก
    ตกต้นไม้ ฯลฯ หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์ผู้ทดลองได้ขอให้กลุ่มนี้จินตนาการถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เขาบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเลย โดยผู้ทดลองเป็นผู้นำจินตนาการ ด้วยการบอกบทอย่างละเอียด

    หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์คนกลุ่มนี้ก็กลับมาตอบคำถามเดิมว่า ๔๐ เหตุการณ์ในแบบ สอบถาม เหตุการณ์ใดบ้างที่คิดว่าเคยเกิดขึ้น และไม่เคยเกิดขึ้นเลย ปรากฏว่าคราวนี้คำตอบเปลี่ยนไป อาทิ คนที่เคยตอบในครั้งแรกว่าไม่เคยทำกระจกหน้าต่างแตก หลังจากจินตนาการว่าได้ทำกระจกแตก ร้อยละ ๒๔ ของคนกลุ่มนี้ตอบในครั้งหลังว่าเคยทำกระจกแตกตอนเป็นเด็ก

    การทดลองนี้พิสูจน์ว่าการจินตนาการของคนเรานั้น แม้เป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็สามารถเข้ามาปะปนในความรู้สึกนึกคิดของคนเรา จนถูก “กลืน”เข้ามาอยู่ในความทรงจำ กลายเป็นเรื่องที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเป็นความจริงไป

    ที่จริงไม่ต้องอาศัยจินตนาการก็ได้ เพียงแค่ได้ยินได้อ่านเรื่องซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริงในวัยเด็ก แต่ถ้าได้ยินหรืออ่านเรื่องนั้นพร้อม ๆ กับเรื่องจริง ๓-๔ เรื่องซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน เรื่องปรุงแต่งนั้นก็มีโอกาสที่จะถูกประทับในความทรงจำว่าเป็นเป็นเรื่องจริงในอดีตได้ เคยมีการทดลองแบบนี้กับคนกลุ่มหนึ่ง โดยเอาเรื่องราวในวัยเด็กของแต่ละคน(ซึ่งได้จากการสอบถามญาติผู้ใหญ่)มา ๓ เรื่อง แล้วแทรกเหตุการณ์ปลอมเข้าไปเป็นเรื่องที่ ๔ คือ การพลัดหลงกับพ่อแม่ในางสรรพสินค้าเมื่ออายุ ๕ ขวบ ปรากฏว่าพอได้อ่านครั้งแรก ร้อยละ ๒๙ ของคนกลุ่มนี้ก็”จำได้”ทันทีว่าเคยประสบเหตุการณ์ดังกล่าว ในการสอบถาม ๒ ครั้งต่อมา คนที่ยืนยันว่าจำเหตุการณ์ที่กุขึ้นมาก็ยังมีจำนวนไม่ต่างจากเดิมมากนัก

    มาถึงตรงนี้คุณยังเชื่อมั่นในความทรงจำของคุณอยู่อีกหรือเปล่า แน่ใจหรือว่าเหตุการณ์ที่นึกว่าเป็นเรื่องจริงในอดีตนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เติมแต่งเข้าไปทีหลัง จะโดยจินตนาการของตนเองหรือการโน้มนำของคนอื่นก็ตาม

    ความทรงจำของเราไม่ได้มีกำแพงแน่นหนาอย่างที่เรานึก อีกทั้งไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่เราอยากจะให้เป็น อะไรต่ออะไร ทั้งดีและไม่ดีมีสิทธิแทรกซึมเล็ดลอดเข้าไปในความทรงจำได้ทั้งนั้น อีกทั้งบางครั้งก็หลอกเราหน้าตาเฉย ถ้าเราเชื่อความจำของเรามากไป ก็อาจจะเดือดร้อนก็ได้
    ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันก็เพราะเรื่องความจำ ภรรยาจำได้ว่าสามีพูดอย่างนี้ แต่สามีบอกว่าพูดอย่างนั้นต่างหาก เจ้านายยืนยันว่ายื่นเอกสารนี้ให้เลขา ฯ แล้ว แต่เลขา ฯ ว่ายังไม่ได้รับ ต่างคนต่างยืนยันเพราะมั่นใจในความจำของตน ทุ่มเถียงจนหน้าดำคร่ำเครียด พร้อมจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนั้น บางคนหนักกว่านั้นอีก นึกปรุงแต่งไปเองว่าคนนั้นคนนี้ด่าว่าตน พอผ่านไปสักพักก็ “จำ”ได้ว่าคนนั้นเคยต่อว่าตน เลยผูกใจเจ็บโดยที่คนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    แต่เรามั่นใจเต็มร้อยแล้วหรือว่าความจำของเรานั้นเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
    แม้เหตุการณ์จะเพิ่งเกิด ก็อย่านึกว่าเราจำได้ไม่ผิด ในการทดลองครั้งหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงสี่แยกขณะที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง หลังจากนั้นครึ่งหนึ่งของผู้เห็นเหตุการณ์ได้รับการบอกเล่าว่าสัญญาณไฟเป็นสีเขียว เมื่อมีการสอบถามในเวลาต่อมาว่าสัญญาณไฟเป็นสีอะไร คนที่ได้รับคำบอกเล่ามาก่อนมีแนวโน้มที่จะบอกว่าเป็นสีเขียว
    ความจำของคนเรานั้นพร้อมจะแปรเปลี่ยนเมื่อมี “ข้อมูลใหม่”เข้ามา ข้อมูลนั้นหากเข้ามาอยู่ในความคิดของเราเมื่อไหร่ มันพร้อมจะเข้าไปแทรกซึมปะปนกับความทรงจำของเราได้ทุกเวลา ความคิด จินตนาการ และความจำนั้น บ่อยครั้งก็ใกล้กันมาก จนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

    ที่จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลใหม่ ความจำก็อาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนได้หากเวลาผ่านไปไม่นาน หนึ่งวันหลังจากเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล ประเทศรัสเซีย ได้มีการมอบหมายให้นักศึกษากลุ่มหนึ่งในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา บันทึกว่าตนอยู่ไหนตอนที่ได้ข่าว กำลังทำอะไร และใครเป็นคนบอกข่าว ๓ ปีหลังจากนั้นก็ได้ให้นักศึกษากลุ่มเดียวกันนั้นจำนวน ๔๔ คน ตอบคำถามเดียวกันนั้นอีก ปรากฏว่าทุกคนตอบผิด มี ๑๑ คนที่ตอบผิดทั้ง ๓ ข้อ
    นอกจากระยะเวลาแล้ว ภูมิหลัง ประสบการณ์ อคติ อารมณ์ความรู้สึกของเราขณะนั้นก็มีอิทธิพลต่อความจำมาก ที่จริงปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลตั้งแต่ตอนรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะถูกบรรจุในความทรงจำด้วยซ้ำ
    ศาสตราจารย์คนหนึ่ง ขณะที่กำลังบรรยายวิชาอาชญาวิทยา มีชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้วหยิบกระเป๋าศาสตราจารย์ผู้นั้นไป ไม่ทันที่นักศึกษานับร้อยจะหายตื่นตกใจ ศาสตราจารย์ก็ถามนักศึกษาว่าคนที่ขโมยกระเป๋านั้นไป มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร สูงแค่ไหน ใส่เสื้ออะไร รองเท้าแบบไหน ปรากฏว่านักศึกษานับร้อยบรรยายลักษณะของขโมยไม่ตรงกัน ศาสตราจารย์จึงสรุปว่าความจำของเรานั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ดังนั้นจึงอย่ามั่นใจในประจักษ์พยานว่าจะให้ข้อเท็จจริงได้ถูกต้องเสมอกัน
    ความจำไม่ใช่แค่ข้อมูลที่สะสมในสมอง มันมักถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันความเป็นตัวเรา และบอกว่าเราเป็นใคร ลักษณะประจำชาติหรือความเป็นชาติ ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ที่จดจารฉันใด ความเป็นตัวเราก็ขึ้นอยู่กับความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองฉันนั้น ถ้าในความทรงจำมีแต่เรื่องไม่ดีของเรา ย่อมยากที่เราจะมองตนเองในแง่ดี แต่ถ้าเรานึกเห็นแต่อดีตที่ดี ๆ ของตัวเอง ก็อาจเห่อเหิมอหังการจนหลงตัวลืมตัวไปก็ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อาจเป็นมายาภาพก็ได้ เพราะความทรงจำของเราอาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปตั้งแต่แรกก็ได้

    คนเราหนีความทรงจำของตนเองไม่ได้ก็จริง แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสของความทรงจำ ความทรงจำก็เช่นเดียวกับความคิดของเราตรงที่มันสามารหลอกเราได้ทั้งนั้น เมื่อปักใจเชื่อว่าใครเป็นขโมย เราก็มองเห็นคนนั้นมีพิรุธไปเสียทุกอย่าง ความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนนั้นก็ผุดพรูขึ้นมาเป็นการใหญ่ ทั้งที่ประสบพบเห็นเองก็มี นึกเอาเองหรือได้ยินเขาว่ามาก็มี ที่แย่ก็คือถ้าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ก็เท่ากับว่าเราทำร้ายเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
    อย่าตัดสินตัวเองหรือคนอื่นด้วยข้อมูลจากความทรงจำไปเสียหมด อย่าปล่อยให้ความทรงจำทิ่มแทงตัวเรา หรือกักขังเราไว้กับอดีต ลืมเสียบ้างก็ดี อย่าลืมว่าปัจจุบันนั้นสำคัญกว่าอดีตพยายามรู้จักปัจจุบันและสร้างปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้อดีตจะช่วยให้เรารู้จักปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นอยู่ แลเห็นอยู่ขณะนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดอันเราพึงใส่ใจ

    ปัจจุบันนั้นใช่หรือไม่ว่าเป็นเวลาประเสริฐสุด
    :- https://visalo.org/article/sukjai254509.htm

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2025
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ของดีที่ถูกมองข้าม
    พระไพศาล วิสาโล
    (หัวข้อเตียวกันแต่เรื่องไม่ซ๋้าค่ะ)
    “ผมไม่มีเงินผ่อนบ้านแล้วพี่ เขากำลังจะยึดบ้านผม” ชายผู้หนึ่งเปรยขึ้นมา
    “ก็ดีนะ เราจะได้ไม่มีภาระต้องผ่อนบ้านอีก” ชายคนที่สองให้กำลังใจ

    ชายคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน คือ “เท่ง” ดาวตลกนั่นเอง ส่วนคนที่สองถึงไม่บอกก็พอจะเดาได้ว่าคือ “หม่ำ จ๊กมก” แต่บทสนทนาข้างต้นมิใช่มุกตลกบนเวที หากเป็นเรื่องจริงที่กำลังสร้างความหนักใจให้แก่คน ๆ หนึ่ง
    การถูกยึดบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียหมด อย่างน้อยก็ยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับการหาเงินมาผ่อนบ้านอีก สำหรับคนที่ต้องวิ่งวุ่นเพื่อหมุนเงินมาผ่อนบ้านทุกเดือน ใช่หรือไม่ว่า การหมดภาระในเรื่องนี้ช่วยให้จิตใจสบายขึ้นอีกเยอะ จะว่าไปการถูกยึดบ้านอาจเป็นสิ่งเตือนใจว่า เราทำสิ่งที่เกินกำลัง หรือซื้อบ้านแพงเกินตัว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาทำในสิ่งที่พอดีกับชีวิตหรือรายได้ที่มี ใครจะไปรู้ การกลับมาเริ่มต้นใหม่ อาจทำให้เส้นทางชีวิตราบรื่นขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่บ้านถูกยึด เหมือนกับที่หลายคนรู้สึกโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะทำให้ชีวิตกลับมาเดินทางสายกลาง และค้นพบความสุขที่ไม่เคยประสบมาก่อน

    ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด ย่อมมีส่วนดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย คำถามก็คือ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราจะเอาแต่คร่ำครวญ กลุ้มใจ หมดอาลัยหรือจมจ่อมอยู่กับสิ่งร้าย ๆ จนไม่เป็นอันทำอะไร หรือในทางตรงข้าม เราควรมองหาส่วนดีเพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างน้อยก็เพื่อฉุดใจให้พ้นจากความทุกข์หรือความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

    ความเจ็บป่วยทำให้เราไม่อาจดำเนินชีวิตได้ตามปกติก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เราได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำในเวลาปกติ (เพราะถูกงานการแย่งเวลาไป)เช่น พักผ่อน อ่านหนังสือธรรมะ ทำสมาธิภาวนา รวมทั้งมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น มีเด็กอายุ ๑๒ คนหนึ่ง เป็นมะเร็งจนต้องเข้าโรงพยาบาล เธอบอกว่านั่นเป็นช่วงที่เธอมีความสุขที่สุด เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ หากเธอไม่ป่วย พ่อแม่ลูกก็คงมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก เพราะลูกต้องไปเรียน ส่วนพ่อแม่ก็ต้องไปทำงานแต่เช้าตามวิสัยคนกรุงเทพ ฯ

    ใจที่มองเห็นข้อดีที่แฝงตัวมากับปัญหา ย่อมมีความทุกข์น้อยกว่าใจที่เห็นแต่สิ่งเลวร้ายหรือข้อเสีย การเห็นข้อดีเหล่านั้นย่อมทำให้ใจเป็นกุศล ไม่หม่นหมอง หรือหัวเสีย นอกจากจะทำให้มีกำลังใจที่จะเผชิญกับปัญหาต่อไปแล้ว หากรู้จักนำข้อดีนั้นมาขยายผลให้เกิดประโยชน์ ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในตัวเองด้วย

    ไม่มีนักขับขี่ยวดยานคนใดชอบสัญญาณไฟแดง แต่ไฟแดงเป็นส่วนหนึ่งของการสัญจรในเมือง ดังนั้นเมื่อเจอไฟแดง ควรหรือที่จะปล่อยใจให้หงุดหงิดกับมัน จะไม่ดีกว่าหรือหากพยายามหาประโยชน์จากมัน บางคนใช้สัญญาณไฟแดงเป็นสิ่งเตือนใจให้หยุดฟุ้งซ่าน เพื่อหันกลับมาดูจิตของตน หรือใช้โอกาสนั้นฝึกสมาธิด้วยการตามลมหายใจเข้าและออก โดยถือว่านอกจากรถจะหยุดนิ่งแล้ว ใจก็ควรนิ่งด้วย วิธีนี้ทำให้ไฟแดงไม่สามารถก่อความทุกข์แก่เขาได้อีกต่อไป กลับกลายเป็นของดีสำหรับชีวิตจิตใจของเขาด้วยซ้ำ

    อุปสรรคหรือความไม่สมหวังก็เช่นกัน มีข้อดีที่เป็นประโยชน์แก่เราอย่างมากมาย เช่น ฝึกใจให้อดทน มีภูมิต้านทานต่อความล้มเหลวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้บทเรียนที่เพิ่มพูนสติปัญญาแก่เรา อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า อะไรที่ไม่ควรทำ อะไรที่พึงหลีกเลี่ยง ออสวอลด์ อาเวรี่ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เคยกล่าวว่า “เวลาหกล้ม (ก่อนจะลุก) ต้องเก็บอะไรขึ้นมาสักอย่าง” คนส่วนใหญ่เมื่อหกล้มแล้ว มักลุกขึ้นมามือเปล่า ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วยเลย แต่อาเวรี่ไม่ยอมเสียโอกาสอันงามเช่นนั้น ความล้มเหลวแต่ละครั้งเป็นประโยชน์ต่อเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยผิดหวังกับความล้มเหลวตลอด ๒๐ ปีของการค้นคว้า และนั่นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาค้นพบความจริงอันสำคัญยิ่งของชีววิทยายุคใหม่ ได้แก่ ความจริงที่ว่าสารพันธุกรรมคือดีเอนเอ หาใช่โปรตีนอย่างที่เคยเข้าใจไม่

    เมื่อใดก็ตามที่สามารถมองเห็นข้อดีของอุปสรรคหรือความล้มเหลว ก็ไม่ยากที่เราจะมองเห็นความดีของคนที่สร้างอุปสรรคให้แก่เรา หรือทำให้งานของเราล้มเหลว ถึงตอนนั้นเราก็จะเกลียดเขาน้อยลง และอาจขอบคุณเขาด้วยซ้ำ คล็อด โทมัส เป็นทหารผ่านศึกสมัยสงครามเวียดนาม ต่อมาได้บวชเป็นพระเซน และได้อุทิศตนให้แก่การสร้างสันติภาพ คราวหนึ่งได้เดินเท้าจาริกข้ามอเมริกา จากนิวยอร์กไปแคลิฟอร์เนีย เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร เพื่อรณรงค์สันติภาพ ในการจาริกดังกล่าว ซึ่งกินเวลานานถึง ๕ เดือน ท่านได้บำเพ็ญภิกขาจารเป็นวัตร กล่าวคือไม่พกเงิน แต่จะขออาหารและที่พักจากผู้มีจิตศรัทธาตามรายทาง

    สหรัฐอเมริกานั้น มีวัดพุทธน้อยมาก ดังนั้นส่วนใหญ่ท่านจะไปขออาหารและที่พักตามโบสถ์คริสต์ บ่อยครั้งท่านถูกปฏิเสธ หลายคนพูดตรง ๆ ว่า “คุณเป็นพุทธ เราไม่ช่วยคุณหรอก” แม้จะถูกบอกปัดจากผู้ที่อ้างตัวว่าเคร่งศาสนา แต่แทนที่ท่านจะแสดงอาการขุ่นเคือง ท่านกลับนิ่งสงบ พนมมือขึ้น และค้อมตัวแสดงความเคารพ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ธรรมดาเมื่อถูกใครปฏิเสธซึ่งหน้า เราย่อมโกรธ และรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง ตามมาด้วยความเกลียดชังคนผู้นั้น แต่ท่านคล็อดกลับมองว่านี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกตนและรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะจะได้เห็นอารมณ์อกุศลผุดขึ้นมา และเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่จมเข้าไปในอารมณ์นั้น ในสายตาของท่าน บุคคลเหล่านี้ช่วยให้ท่านได้เห็นและประสบสัมผัสกับสิ่งที่ขัดขวางปิดบังมิให้ท่านเข้าถึง “สภาวะตื่นรู้” ด้วยเหตุนี้บุคคลเหล่านั้นจึงเปรียบเสมือนครูของท่าน ที่ท่านสมควรจะแสดงความขอบคุณ

    คนที่ตำหนิเราหรือมุ่งร้ายต่อเรา มองให้ดี ๆ จะพบว่า การกระทำของเขาก็มีส่วนดีหรือมีคุณประโยชน์ต่อเราไม่น้อย แต่เราจะมองข้อดีนั้นไม่เห็นเลย หากจิตใจของเราจมอยู่กับความผิดหวังและเสียหน้า หรือถูกครอบงำด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น ใช่หรือไม่ว่าการปล่อยใจให้ตกอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น มีแต่จะฉุดใจเราให้ต่ำลง นึกคิดในทางอกุศล ในทางตรงข้ามการมองเห็นข้อดีจากการกระทำของเขา ช่วยยกจิตของเราให้สูงขึ้น น้อมใจไปในทางกุศล และเป็นสุข

    ยิ่งเราเห็นคุณค่าของการฝึกฝนตนมากเท่าไร เราจะเห็นคุณค่าของอมิตรและผู้ที่มุ่งร้ายต่อเรา เพราะเขาคือครูที่คอยเคี่ยวเข็ญให้เรามีสติรู้ทันความโกรธเกลียดที่ผุดขึ้นมา และต้องฝึกใจให้มีปัญญาเอาชนะอารมณ์เหล่านั้นให้ได้ หากเราเหยาะแหยะในการฝึกฝนตน เราเองนั่นแหละจะเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ว่า หากเราสุขสบายดีแล้ว ย่อมไม่สนใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ต่อเมื่อมีทุกข์ จึงค่อยขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ และถ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวไม่ได้ ก็จำต้องหันมาเปลี่ยนตนเอง และการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่สำคัญที่สุดก็คือทำตัวตนให้เบาบาง หรือปล่อยวางจากความยึดถือในตัวตน

    ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ทั้งหลาย เกิดจากความยึดติดถือมั่นในตัวตน หรือยึดสิ่งต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยงอัตตาจนพองโต ทุกครั้งที่ทุกข์เพราะถูกคนตำหนิหรือวิจารณ์ นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้อัตตาพองโตจนอะไรมากระทบก็ไม่ได้ ไม่ต่างจากลูกโป่งที่กลัวแม้แต่ยอดหญ้าหรือเศษฟางจะมาแตะต้อง ถ้าจับสัญญาณเช่นนี้ได้ คำตำหนิหรือคำวิจารณ์ กลับจะเป็นประโยชน์ เพราะช่วยเตือนใจให้เราเลิกพะนออัตตา หันมาทำตัวตนให้เบาบางลง ด้วยการไม่ยึดอะไรต่ออะไรมาเป็นของเรา รวมทั้งไม่ยึดเอาความขุ่นเคืองใจมาเป็น “ตัวกู ของกู”ด้วย

    เวลาเสียหน้า ลองปล่อยให้ความเสียหน้าล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในใจดูบ้าง อย่าไปยึดมาเป็นตัวเราของเราอย่างที่เคยทำ หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องของอัตตาไปก็ได้ มันจะเสียหน้าอย่างไร ฉันไม่เกี่ยว เวลาเสียใจเพราะผิดหวัง ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอัตตาที่ชอบวาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ มันจะเสียใจอย่างไร ก็อย่าเผลอไปเหมาเอาความเสียใจนั้นมาเป็นของฉันไปด้วย

    ทุกครั้งที่ประสบกับปัญหาและความทุกข์ พึงระลึกว่าโอกาสมาถึงแล้วที่เราจะได้ฝึกฝนการปล่อยวางดังกล่าว หากเราละเลยการฝึกฝนดังกล่าวก็มีแต่จะทุกข์มากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน ยิ่งทุกข์มากเท่าไร ก็ยิ่งมีแรงกดดันให้สลัดความทุกข์ออกไปจากใจมากเท่านั้น และหากสลัดเป็น ก็ย่อมรู้ว่าการสลัดความยึดถือในตัวตนออกไปได้อย่างสิ้นเชิงนั้นเป็นดีที่สุด

    เอ็คคาร์ท ทอลเล เป็น “คุรุ”ทางจิตวิญญาณที่ได้รับการยกย่องนับถือมากที่สุดผู้หนึ่งในโลกตะวันตกขณะนี้ คำสอนของเขาเน้นเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน “พลังแห่งปัจจุบันขณะ” คือชื่อหนังสือเล่มแรกของเขาที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ภูมิหลังของเขาไม่ต่างจากคนเยอรมันทั่วไป คือไม่สนใจเรื่องศาสนาหรือสมาธิภาวนา จึงประสบกับความทุกข์ใจอยู่บ่อยครั้ง จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกแปลกแยก สับสน ชิงชัง และเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาก่อน แต่คืนนั้นรุนแรงมากจนเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    “ฉันทนอยู่กับตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว” ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ และแล้วเขาก็ได้คิดขึ้นมาว่านี่เป็นความคิดที่แปลกอย่างยิ่ง “ฉันมีหนึ่งหรือสอง ? ถ้าฉันอยู่กับตัวเองไม่ได้ ก็แสดงว่าฉันมีสอง นั่นคือ “ฉัน” กับ “ตัวตน”ที่ “ฉัน”ทนอยู่ด้วยไม่ได้” “หรือว่ามีเพียงหนึ่งเดียวนั้นที่จริง” ทันใดนั้นเองจิตของเขาก็นิ่งสงบ มีแต่ความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่มีความคิดหรือความรู้สึกใด ๆ ผุดขึ้นมาอีก นับแต่คืนนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความนิ่งสงบอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน จวบจนทุกวันนี้

    เป็นเวลาหลายปีกว่าเขาจะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ความทุกข์ที่ถาโถมท่วมทับในคืนนั้น แม้จะทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กดดันให้จิตใจของเขาต้องถอนตัวออกจากความยึดติดในตัวตนที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างแรงกล้า เขาได้ตระหนักว่าตัวตนที่ทุกข์ทรมานนั้นไม่ใช่ “เขา” แต่เนื่องจากไปยึดติดกับตัวตนนั้น เขาจึงทุกข์ไปด้วย เมื่อปล่อยวางจากตัวตน ดังกล่าว (ซึ่งนอกจากจะทุกข์แล้ว ยังเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง) เขาจึงเป็นอิสระและมีความสุขอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาสรุปอย่างสั้น ๆ ว่า “ความคิดของคุณหาใช่คุณไม่” (You are not Your Mind)

    หากเขาไม่ประสบกับความทุกข์แสนสาหัส ก็คงไม่พบกับหนทางออกจากทุกข์ได้เลย ความทุกข์จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด หากมีข้อดีหลายอย่าง หนึ่งในข้อดีเหล่านั้นซึ่งสำคัญที่สุดก็คือ การเปิดเผยให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ เพียงรู้เท่านั้นกุญแจแห่งการออกจากทุกข์ก็อยู่ในมือแล้ว

    พระอรหันต์นับแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา หลายท่านประสบกับความทุกข์แสนสาหัสทั้งทางกายและใจ แต่ความทุกข์เหล่านั้นเองที่สอนสัจธรรมอันลึกซึ้งแก่ท่าน จนท่านเหล่านั้นประจักษ์แจ้งว่าสังขารทั้งปวงนั้นยึดถือไม่ได้และไม่น่ายึดถือ จิตจึงปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง และลุถึงอิสรภาพขั้นสูงสุด ชนิดที่ความทุกข์ไม่อาจครอบงำได้อีกต่อไป

    ยาพิษเช่นสารหนูนั้น สามารถเป็นยารักษาโรคติดเชื้อได้ ส่วนไนโตรกลีเซอรีน ซึ่งใช้ทำวัตถุระเบิด ก็เป็นสารที่ช่วยลดการตายจากโรคหัวใจได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง หาได้บั่นทอนจิตใจสถานเดียวไม่ แต่ยังมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจด้วย

    คำถามก็คือเรามองเห็นหรือรู้จักใช้มันหรือไม่?
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255006.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    รับมือกับอารมณ์ที่มาเยือน
    พระไพศาล วิสาโล
    คงไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการความสงบใจ ในยามปกติสุข หลายคนย่อมปรารถนาความรื่นเริงบันเทิงใจยิ่งกว่าอะไรอื่น แต่เมื่อใดที่ประสบความผิดหวัง หรือถูกกระทบกระแทก จนจิตใจว้าวุ่นรุ่มร้อน ถึงตอนนั้นจึงใฝ่หาความสงบใจ แต่ยิ่งพยายามทำใจให้สงบ จิตใจก็กลับว้าวุ่นรุ่มร้อนกว่าเดิม เพราะสิ่งที่ผู้คนมักกระทำคือ กดข่มอารมณ์และความคิด ยิ่งนึกถึงเรื่องร้ายหรือเหตุการณ์ที่เจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากผลักไสมันออกไปจากใจมากเท่านั้น แต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้มันรังควานเรายิ่งกว่าเดิม

    ความรู้สึกนึกคิดนั้นชอบเล่นตลกกับเรา ยิ่งผลักไสกดข่ม มันยิ่งผุดโผล่ เหมือนเด็กดื้อ ยิ่งห้าม ก็เหมือนกับยิ่งยุ เดวิด เวกเนอร์ (David Wegner) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เคยทดลองด้วยการขอให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องเงียบ ๆ คนเดียว โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนจะคิดอะไรก็ได้ แต่ห้ามนึกถึงหมีขาว หากนึกถึงหมีขาวเมื่อใดขอให้กดกริ่งทันที ปรากฏว่า ไม่นานหลังจากที่เริ่มการทดลอง เสียงกริ่งก็ดังระงม

    การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่ายิ่งพยายามไม่คิดถึงสิ่งใด ใจก็ยิ่งหมกมุ่นกับสิ่งนั้น การทดลองดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องทำสนุก แต่บ่อยครั้งปฏิกิริยาดังกล่าวของจิตสามารถส่งผลลบได้ในชีวิตจริง เจนนิเฟอร์ บอร์ตัน (Jennifer Borton) และอลิซาเบธ เคซีย์ ( Elizabeth Casey)แห่งมหาวิทยาลัยแฮมิลตัน ได้ขอให้คนกลุ่มหนึ่งนึกถึงเหตุการณ์หรือสิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับตัวเอง จากนั้นก็ให้ครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้พยายามผลักไสความคิดดังกล่าวออกไปจากใจตลอด ๑๑ วันข้างหน้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ดำเนินชีวิตตามปกติ ทุกคืนให้แต่ละคนทบทวนว่าตนนึกถึงความคิดดังกล่าวมากน้อยเพียงใด รวมทั้งให้คะแนนภาวะอารมณ์ ความกังวล และความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง

    สิ่งที่นักวิจัยทั้งสองคนพบก็คือ เมื่อเทียบกับคนที่ใช้ชีวิตตามปกติ คนที่พยายามผลักไสความคิดที่เป็นลบเกี่ยวกับตัวเอง จะคิดถึงเรื่องนั้นมากกว่า นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ยังมีความกังวลมากกว่า ซึมเศร้ามากกว่า และรู้สึกเป็นลบเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าด้วย

    จริงอยู่มีความรู้สึกนึกคิดบางอย่างที่เราสามารถกดข่มผลักไสจนมันดูเหมือนจะหายไป แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้หายไปไหน หากแต่คอยรังควานรบกวนเราอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ (ที่เรียกว่าจิตไร้สำนึก) โดยแสดงอาการในรูปลักษณ์อื่นที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ชายผู้หนึ่งพบว่าตนเองมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อศาลพระภูมิ พบเห็นทีไรก็อยากเข้าไปทำลาย โดยไม่รู้สาเหตุ จนเมื่อไปปรึกษาจิตแพทย์ สิ่งสำคัญที่จิตแพทย์พบก็คือ ชายผู้นี้โกรธเกลียดพ่อมาก เนื่องจากพ่อใช้อำนาจและความรุนแรงกับเขาอยู่เป็นประจำ แต่เขาไม่สามารถยอมรับความรู้สึกนี้ได้ เพราะความใฝ่ดีในใจเขาคอยย้ำเตือนว่าคนดีจะโกรธเกลียดพ่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามกดข่มความรู้สึกนี้ แต่มันไม่ได้หายไปไปไหน หากแอบซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึกและหาโอกาสปรากฏตัวในรูปอื่นที่แฝงเร้นแต่เป็นที่ยอมรับได้ง่ายกว่า นั่นคือระบายความโกรธเกลียดใส่ศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพยำเกรง คล้ายกับพ่อของเขา

    ในเมื่อยิ่งผลักไสกดข่มความรู้สึกนึกคิด มันยิ่งรบกวนจิตใจ จะดีไหมหากเราใช้วิธีตรงข้าม นั่นคือ ปล่อยมันออกมาให้เต็มที่ ถ้าโกรธ ก็ระบายความโกรธออกมาเลย ถ้าเกลียดก็แสดงความเกลียดออกมาสุด ๆ ฟังดูน่าจะดีหากว่าระบายออกมาแล้วมันหายเกลี้ยงไปจากใจ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ดูเผิน ๆ เหมือนมันหาย แต่ที่จริงมันกลับทำให้เราโกรธเกลียดได้ง่ายขึ้น และระบายอารมณ์ออกมาได้รุนแรงกว่าเดิม

    การทดลองของแบรด บุชแมน (Brad Bushman) แห่งมหาวิทยาลัยรัฐไอโอวา ยืนยันข้อสรุปดังกล่าว เขาได้ขอให้นักศึกษา ๖๐๐ คนเขียนเขียนความเรียงเพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการทำแท้ง จากนั้นก็มีการนำความเรียงเหล่านั้นไปให้นักศึกษาอีกคนหนึ่งวิจารณ์ แต่ในความเป็นจริงผู้วิจารณ์ก็คือคณะผู้ทดลองนั่นเอง ความเรียงแต่ละชิ้นจะถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง เช่น วิจารณ์ว่า “เป็นความเรียงที่แย่ที่สุดที่เคยอ่านมา” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อคืนความเรียงไปให้เจ้าของ เขาจะรู้สึกโกรธแค้นเพียงใด

    จากนั้นก็มีการเปิดโอกาสให้นักศึกษาเหล่านี้จำนวนหนึ่งระบายความโกรธออกมา ด้วยการชกกระสอบทรายซึ่งติดภาพใบหน้าของคนที่(ถูกอ้างว่า)เป็นผู้วิจารณ์ความเรียงของเขา นักศึกษาแต่ละคนถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังและระบายความโกรธได้เต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่ามีการแอบฟังเสียงชกกระสอบทรายเพื่อนับว่ามีการชกกี่ครั้ง ขณะเดียวกันนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง แทนที่จะชกกระสอบทราย ก็ถูกขอให้นั่งเงียบ ๆ ในห้องคนละ ๒ นาที
    ขั้นตอนต่อมา ทุกคนกรอกแบบสอบถามเพื่อประเมินว่าแต่ละคนมีความโกรธ หงุดหงิด หรือขุ่นเคืองใจมากน้อยเพียงใด สุดท้ายก็มีการจับคู่เล่นเกม ผู้ชนะสามารถตะโกนใส่หน้าผู้แพ้ได้เต็มที่ จะดังเท่าใด หรือนานเท่าใดก็ได้

    ผลจากการทดลองก็คือ คนที่ชกกระสอบทรายอย่างเต็มที่นั้น หาได้รู้สึกโกรธน้อยลงหลังจากนั้นไม่ ตรงกันข้ามกลับมีความก้าวร้าวขุ่นเคืองมากกว่าคนที่นั่งนิ่ง ๆ ในห้อง อีกทั้งยังตะโกนใส่หน้าเพื่อนด้วยเสียงที่ดังกว่าและนานกว่าด้วย เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าในแง่อารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมา มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างคน ๒ กลุ่ม
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    การทดลองดังกล่าวชี้ว่า การระบายความโกรธออกมานั้นไม่ได้ช่วยให้ความโกรธลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันเหมือนกับการเทน้ำมันลงในกองไฟด้วยซ้ำ

    มองในแง่ของพุทธศาสนา เมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นไม่ว่า ความโกรธ ความหงุดหงิดขัดเคือง ความโลภ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ “อนุสัย” ซึ่งพร้อมจะสะสมนอนเนื่องในจิตใจ หากระบายอารมณ์ดังกล่าวออกมา เช่นระบายความโกรธด้วยการแสดงความรุนแรงไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ก็ยิ่งทำให้อนุสัยสะสมมากขึ้น ส่งผลให้ความโกรธก่อตัวง่ายกว่าเดิม รวมทั้งแสดงออกได้ง่ายขึ้นด้วย พูดอีกอย่างคือ เกิดการสะสมเป็นนิสัยสันดาน คนที่ระบายความโกรธออกมาบ่อย ๆ จึงเป็นคนมักโกรธ คนที่ทำตามความอยากอยู่เสมอ จึงเป็นคนมักได้ หากปล่อยไว้นานวันก็จะต้านทานอารมณ์เหล่านั้นได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ

    ในเมื่อกดข่มผลักไส มันก็ไม่หายไปไหน ระบายออกไป มันก็กลับสะสมพอกพูน แล้วจะจัดการกับความรู้สึกนึกคิดที่รบกวนจิตใจอย่างไร คำตอบคือ ดูมันเฉย ๆ หรือรับรู้มันด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ต้องผลักไสหรือปล่อยใจ(และกาย)ไปตามอำนาจของมัน นั่นคือมี “สติ” สตินั้นช่วยให้เราไม่เผลอเข้าไปในอารมณ์จนตกอยู่ในอำนาจของมัน ปกติอารมณ์ใดก็ตามมักจะมีแรงดึงดูดให้ใจเราถลำจมหรือหมกมุ่นอยู่กับมัน แต่สติช่วยดึงจิตให้ถอนออกมาจากอารมณ์นั้น และดูมันเฉย ๆ อย่างมีระยะห่าง เหมือนดูกองไฟที่ลุกโชนโดยไม่รู้สึกร้อนรุ่ม แต่ถ้าขาดสติเมื่อใด ใจก็จะโถมเข้าหาอารมณ์นั้นและเกิดทุกข์ตามมา เหมือนกับโดดเข้าไปในกองไฟแล้วถูกมันเผาลน
    การวางระยะห่างจากอารมณ์ ทำให้อารมณ์นั้นค่อย ๆ มอดดับลงเพราะขาดเชื้อ ในทางตรงข้ามการถลำเข้าไปในอารมณ์ หรือครุ่นคิดถึงมันอยู่เสมอ กลับทำให้อารมณ์นั้นลุกโพลงขึ้น เหมือน
    กองไฟที่ได้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

    สติยังช่วยยั้งใจไม่ให้ผลักไสกดข่มอารมณ์ เพราะการทำเช่นนั้นกลับทำให้ติดยึดในอารมณ์มากขึ้น การอยากผลักไสนั้นจะว่าไปแล้วก็เป็นความติดยึดอย่างหนึ่ง และเมื่อพยายามผลักไสก็ยิ่งยึดติดหรือพลัดจมอยู่ในอารมณ์นั้นยิ่งกว่าเดิม ทำนองเดียวกับที่เราพยายามผลักรถที่จอดขวางทาง ยิ่งออกแรงผลักเท่าไร ตัวเราก็ยิ่งแนบชิดกับตัวถังรถมากขึ้น เมื่อมือเราสัมผัสกับสิ่งที่เหม็นสกปรก แม้เราจะพยายามล้างมือและขัดถูเพื่อให้ปลอดกลิ่นเพียงใด แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือขึ้นมาดมหากลิ่นนั้น ยิ่งเหม็นก็ยิ่งดม ยิ่งอยากขจัดใครบางคนออกไปจากใจ ก็ยิ่งนึกถึงคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อเมื่อมีสติรู้ทันอารมณ์และอาการดังกล่าว เราจึงจะปล่อยวางมันได้ และดูมันด้วยใจนิ่งสงบจนมันเลือนหายไปเอง

    ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย หากเราไม่ไปยุ่งกับมัน ไม่ว่าหลงตามหรือผลักไส มันย่อมดับไปเองตามธรรมชาติของมัน แต่หากมันรบกวนเรา สิ่งที่ควรทำคือรู้หรือดูมันเฉย ๆ เหมือนกับดูสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่เรา

    วันหนึ่งลูกสาววัย ๙ ขวบมารบเร้าแม่ว่าอยากได้ของเล่นอย่างหนึ่งในร้านค้า ลูกสาววิงวอนขอความเห็นใจแม่ว่า อยากได้จริง ๆ เมื่อแม่สอบถามก็ได้ความว่า ลูกอยากได้ไมโครโฟนเล็ก ๆ พอเสียบปลั๊กแล้วก็ร้องเพลงได้ แต่พอลูกตอบว่า ของเล่นชิ้นนี้ราคา ๔๐๐ บาท แม่ก็ตกใจเพราะแพงเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้
    ลูกสาววิงวอนแล้ววิงวอนอีก เพราะอยากได้จริง ๆ ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้เป็นแม่โดยทั่วไปมักเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ หากไม่ตามใจลูก ก็ปฏิเสธความต้องการของลูก แต่แม่ผู้นี้รู้ว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้น เธอจึงเจรจากับลูกว่า ถ้าลูกอยากได้ลูกต้องซื้อด้วยเงินของตัวเอง โดยมีเงื่อนไข ๒ ข้อ คือ ข้อที่หนึ่ง แม่จะหักค่าขนมของลูกครึ่งหนึ่งนับแต่วันพรุ่งนี้ โดยจะหยอดกระปุกจนครบ ๔๐๐ บาท ข้อที่สอง นับแต่นี้ไปทุกเย็นให้ลูกไปที่ร้านนั้นแล้วดูไมโครโฟนอันนั้น แล้วให้สังเกตดูใจของตัวไปด้วยว่า รู้สึกอย่างไร ชอบมันมากเหมือนเดิมทุกวันไหม
    ลูกดีใจ จึงทำตามที่แม่บอก แต่เมื่อผ่านไปได้ ๔ วัน ลูกก็มาบอกแม่ว่า ไม่อยากได้แล้ว แม่ถามว่าทำไม คำตอบของลูกคือ “เบื่อ” ทำไมถึงเบื่อ ลูกตอบว่า ดูนาน ๆ ก็เบื่อเอง เก็บเงิน ๔๐๐ ไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า

    สิ่งที่แม่ผู้นี้ทำไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การสอนให้ลูกมีสติดูความอยากที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อดูมันทุกวัน ความอยากก็จางคลายไปเอง เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ไม่จีรังยั่งยืน เมื่อดูมันไปเรื่อย ๆ ไม่นานมันก็หมดพิษสง และไม่รบกวนจิตใจอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่เห็นความจริงข้อนี้เพราะมักจะทำตามความอยาก หรือไม่ก็ครุ่นคิดถึงมัน จึงทำให้มันมีกำลังมากขึ้นจนยากที่เราจะต้านทานได้

    ความโกรธก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันเกิดขึ้น ลองตั้งสติดูมัน เสมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจ แต่ไม่ใช่ “เรา” จะลองสังเกตดูกายด้วยก็ได้ว่า ขณะที่โกรธนั้น ลมหายใจเป็นอย่างไร หัวใจเต้นแรงมากน้อยเพียงใด หน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟัน หรือเกร็งมือหรือไม่ การหันมาดูกายและใจ จะช่วยดึงความรู้สึกตัวกลับมา และทำให้ความโกรธจางคลายไป ความโกรธก็เช่นเดียวกับอารมณ์อื่น ๆ ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความรู้สึกตัวได้ เมื่อความรู้สึกตัวเกิดขึ้น อารมณ์ก็เลือนหายไป เหมือนกับความมืดที่หายวับเมื่อเจอแสงสว่าง

    แต่หากสติยังไม่เข้มแข็งฉับไว ความรู้สึกตัวอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วหายวับไป ทำให้ความโกรธผุดขึ้นมาใหม่ ลองน้อมใจมาที่ลมหายใจ แล้วหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาว ๆ สัก ๑๐ ครั้ง จะพบว่าความโกรธทุเลาลง เพราะเมื่อใจละวางจากอารมณ์ มันก็เหมือนกองไฟที่ไม่มีใครเติมเชื้อให้ จึงอ่อนแรงลง จากนั้นลองหันมาดูความโกรธอีกครั้งด้วยใจที่เป็นกลาง ๆ คือดูเฉย ๆ โดยไม่คิดผลักไสกดข่มมัน

    อารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนานั้น ยากที่จะป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้นแทนที่จะคิดผลักไสมัน ลองเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน โดยไม่หลงไปตามอำนาจของมัน ต้อนรับอารมณ์เหล่านี้เสมือนอาคันตุกะผู้มาเยือน ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็จากไปเอง โดยไม่ต้องเร่งรัดผลักไส เพียงแค่ยอมรับอารมณ์เหล่านี้ได้ ไม่รู้สึกเป็นลบหรือมองเป็นศัตรู ใจก็สงบไปได้มาก ข้อสำคัญก็คืออย่าหลงเชื่อคำชักชวนของมันจนปล่อยตัวปล่อยใจไปตามมันก็แล้วกัน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255311.htm
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เติมความสุขในยุคเศรษฐกิจติดลบ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อปีที่แล้วมีการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลก ปรากฏว่ามีคน ๓ กลุ่มที่มีความสุขติดอันดับสูงสุด (๕.๘ จากคะแนนเต็ม ๗) ได้แก่เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

    ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

    การค้นพบดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการมีเงินทองหรือสิ่งเสพสิ่งบริโภคเท่านั้น ยังมีความสุขอีกมากมายที่เราสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุ เช่น ความสุขจากสัมพันธภาพอันอบอุ่นในครอบครัว ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตรสหาย ความสุขจากการทำงานอดิเรก ความสุขจากการทำสิ่งยากให้สำเร็จความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขจากการทำสมาธิภาวนา ฯลฯ ความสุขเหล่านี้สามารถบำรุงใจของเราให้ชื่นบานได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินเลย

    ดังนั้นแม้เราจะมีเงินในกระเป๋าน้อยลง เที่ยวห้างได้ไม่บ่อยเหมือนก่อน เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าเดิม และหากเราสามารถเข้าถึงความสุขด้วยวิธีการดังกล่าวได้ เราจะพบว่ามีความสุขมากมายที่ประณีตลึกซึ้งกว่าความสุขจากวัตถุ และสามารถเติมเต็มชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง

    วิกฤตเศรษฐกิจไม่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของเราตกต่ำลงเลย หากเรารู้จักแสวงหาความสุขที่ประณีต เรียบง่าย ซึ่งมีอยู่แล้วรอบตัว หรือสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ไม่ยาก จะว่าไปแล้วการที่เรามีเงินน้อยลงกลับจะเป็นข้อดีเสียอีก ตรงที่กระตุ้นให้เราพยายามแสวงหาความสุขชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทองมาก ตราบใดที่เรายังมีเงินใช้จ่ายมากมาย ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา ย่อมเป็นไปได้ยากที่เราจะรู้จักความสุขจากการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบงดงาม หรือความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางครอบครัว ได้พูดคุยสังสรรค์กัน มีเวลาให้กันและกัน เวลากับความรักเป็นของคู่กัน เมื่อมีเวลาให้กัน ความรักก็ถ่ายเทให้กัน ความรักนั้นให้ความสุขที่ประเสริฐกว่าวัตถุมากมาย

    ความสุขจากวัตถุนั้นหามาได้ง่าย รวดเร็วทันใจก็จริง แต่ก็เลือนหายได้ง่ายเช่นกัน ทำให้ต้องแสวงหาไม่จบไม่สิ้นและต้องแก่งแย่งกับคนอื่น ผลก็คือ สุขชั่วคราวแต่ทุกข์ยาวนาน คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว แท้ที่จริงเงินทำได้อย่างมากก็คือ “เช่า”ความสุขให้เราเท่านั้น อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

    วิกฤตเศรษฐกิจจึงเป็นโอกาสดีที่กระตุ้นให้เราพยายามแสวงหาความสุขที่ประณีต เมื่อนั้น เราจะพบเลยว่าการมีเงินน้อยลง มีวัตถุน้อยลง ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเรามีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่าประเสริฐกว่ามาทดแทน ยิ่งกว่านั้นเรายังจะเป็นอิสระจากความสุขทางวัตถุ ชีวิตเราจะสงบเย็นขึ้น อีกทั้งสัมพันธภาพกับคนในครอบครัวและมิตรสหายก็จะดีขึ้น

    การมองจนเห็นความจริงว่าวิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้มีแต่ข้อเสีย แต่ยังมีข้อดีมากมาย เรียกว่าเป็นการมองแง่บวก การมองแง่บวกช่วยให้เรามองเห็นความสุขอยู่รอบตัว ต่อมาก็จะเห็นความสุขอยู่ใกล้ตัว ที่สุดก็จะพบว่าความสุขที่จริงอยู่ในตัวเรานั่นเอง

    การมองแง่บวกนอกจากช่วยให้เราไม่เป็นทุกข์กับวิกฤตและสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น หลายคนพบว่า การมีรายได้ลดลงทำให้เขากลับมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพบว่าชีวิตเรียบง่ายนั้นแฝงด้วยความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน มีอีกไม่น้อยที่ถูกภาวะล้มละลายผลักดันให้หันมาสนใจการปฏิบัติกรรมฐานจนพบชีวิตใหม่อย่างไม่นึกฝัน

    การมองแง่บวกนั้นมีอยู่ ๒ แบบ แบบหนึ่งคือมองเห็นว่าสิ่งที่แย่ๆ นั้นมีด้านดีอยู่ เช่น การตกงานมีแง่ดีคือทำให้มีเวลากลับไปดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่า เป็นโอกาสดีที่จะได้ตอบแทนบุญคุณของท่าน การมีบ้านเล็กลง มีข้อดีคือทำให้เสียเวลาน้อยลงกับการดูแลรักษาและทำความสะอาด การมีเสื้อผ้าน้อยลงทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นว่าจะใส่ตัวไหนออกงาน ไม่ยุ่งยากสับสน

    หลายคนบอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะทำให้หันมาศึกษาธรรมะจนค้นพบความสุขที่แท้ เด็กอายุ ๑๒ คนหนึ่งบอกว่าเธอมีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็ตอนที่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะทำให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่ลางานมาอยู่กับเธอ ก่อนหน้านั้นพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกเลยเพราะต่างคนต่างไปทำงานแต่เช้ามืดกลับบ้านก็ดึก ลูกจึงรู้สึกว้าเหว่ แต่เมื่อพ่อแม่ลางานมาอยู่กับลูก ลูกจึงมีความสุขมาก นี้คือการเห็นด้านดีจากสิ่งที่ดูเหมือนแย่

    มองด้านบวกอีกแบบหนึ่ง คือการมองว่า นอกเหนือจากสิ่งที่แย่ ๆ ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายอยู่เคียงคู่กัน ถึงแม้เศรษฐกิจตกสะเก็ด ถึงแม้รายได้ลดลง แต่เราก็ยังมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอีกมากมาย เช่น เรายังมีสุขภาพดี เรายังมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า เรามีสิ่งดี ๆ อยู่กับตัวมากมาย แต่เป็นเพราะเราไม่ใส่ใจ เรามัวไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี ก็เลยทำให้เรารู้สึกแย่

    วันหนึ่งครูชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้นักเรียนดู แล้วถามว่านักเรียนเห็นอะไรบ้าง นักเรียนทั้งชั้นบอกเห็นกากบาทสีดำอยู่มุมซ้ายของกระดาษ ครูจึงถามว่าแล้วนักเรียนไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยหรือ บทเรียนครั้งนั้นประทับใจเด็กคนหนึ่งมาก ทำให้เขาพยายามมองหาด้านดีจากทุกสิ่ง ส่งผลให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป เด็กคนนั้นคือโคฟี่ อานัน ซึ่งต่อมาได้เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

    ทุกวันนี้ที่เราทุกข์เป็นเพราะเรามองเห็นแต่กากบาทสีดำใช่ไหม เราไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยเพราะอะไร เป็นเพราะว่ามันปกติเกินไปใช่หรือเปล่า มันธรรมดาจนเรามองข้ามไปหรือไม่ใส่ใจมัน ในทำนองเดียวกัน คนทั่วไปมักมองว่าการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย กินอิ่มนอนอุ่น มีพ่อแม่ลูกอยู่กับเรา เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต ผู้คนจึงไม่มองข้ามไป แต่กลับไปใส่ใจกับการมีเงินทองน้อยลง เมื่อเห็นแค่นั้นจึงรู้สึกเป็นทุกข์

    ชีวิตเรามีสิ่งดี ๆ มากมาย ส่วนสิ่งไม่ดีอาจมีไม่มาก แต่พอเราไปจดจ่อกับมัน เหมือนนักเรียนที่เห็นแต่กากบาทสีดำในกระดาษ เราจึงเป็นทุกข์ แต่เมื่อใดสิ่ง ๆ ที่มีอยู่เกิดหายไป เราถึงจะเห็นความสำคัญของมัน และนึกเสียใจที่มองข้ามมันไป เราไม่เคยเห็นว่าอากาศเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันคือสิทธิ์ของเราที่จะได้อากาศที่บริสุทธิ์ เราไม่เคยรู้สึกว่าการที่พ่อแม่ยังอยู่กับเราเป็นโชคอันประเสริฐ เพราะเราคิดเอาเองว่าท่านจะอยู่กับเราไปตลอด แต่นั่นคือความประมาท เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านจากไป เมื่อใดก็ตามที่อากาศดีหดหายไป เราถึงจะได้คิดว่าเราเคยมีสิ่งดี ๆ หรือสิ่งประเสริฐอยู่กับตัว

    เวลาเงินหายทำไมเราถึงเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะใจเราไปจดจ่ออยู่กับเงินที่หาย แต่เราลืมไปว่าเรายังมีเงินอีกมากมาย มากกว่าที่หายไปหลายร้อยหลายพันเท่า ถ้าเราใส่ใจกับเงินจำนวนมากมายที่เรายังมีอยู่ เราจะทุกข์น้อยลง เงินร้อยที่หายจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย มีเศรษฐินีคนหนึ่งถูกโกงไป ๖๐ ล้าน เธอทุกข์ใจมากในวันแรก แต่วันต่อมาเธอกลับร่าเริงแจ่มใส เมื่อมีคนถาม เธอก็ตอบว่า ถึงแม้เงินจะหาย แต่เธอก็ยังมีบ้านที่อบอุ่น มีอาหารที่อร่อย ยังมีชีวิตที่สุขสบาย ดังนั้นจะทุกข์ไปทำไม

    สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ มิได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก หากวางใจให้เป็น ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ไม่ว่ามีอะไรมากระทบเรา ก็ไม่อาจกระเทือนไปถึงใจได้ ดังนั้น แม้เศรษฐกิจจะถดถอย ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพชีวิตของเราจะถดถอยไปด้วย แม้การส่งออกจะติดลบ ก็ใช่ว่าความสุขของเราจะติดลบไปด้วย ตรงกันข้ามความสุขของเราสามารถเพิ่มเป็นบวก สวนกระแสเศรษฐกิจได้ หากเราวางใจและใช้ชีวิตให้เป็น
    :- https://visalo.org/article/sukjai255203.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ผูกสัมพันธ์ สรรค์สร้างสุข
    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันอาทิตย์ย่านธุรกิจอันจอแจขวักไขว่กลางเกาะฮ่องกงจะแปรสภาพเป็นแหล่งชุมนุมของหญิงสาวชาวฟิลิปปินส์นับพัน ๆ คน ผู้คนคลาคร่ำเต็มทางเท้าจนล้ำถนนและล้นเข้าไปในสวนสาธารณะ บ้างก็นั่งล้อมวงกินอาหาร บ้างก็ร้องเพลง เต้นรำ สนทนาเฮฮากัน ไม่ว่าใครเดินผ่านก็ถูกเรียกให้มาร่วมวงปิคนิค
    ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริงบันเทิงใจ ราวกับชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ร้อนอีกแล้ว

    แต่ความจริงแล้วชีวิตของหญิงสาวเหล่านั้นมีเรื่องที่จะต้องทุกข์ร้อนเยอะแยะไปหมด เริ่มตั้งแต่
    การจากบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ใช่แค่ห่างไกลญาติพี่น้องเท่านั้น หลายคนยังพลัดพรากจากสามีและลูก ๆ ทำนองเดียวกับหญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องออกไปทำงานในต่างประเทศเพื่อส่งเงินมาจุนเจือครอบครัว
    แต่สาวฟิลิปปินส์เหล่านี้ไม่ได้มีแค่พันธะทางใจที่ต้องกังวลเท่านั้น หากชีวิตความเป็นอยู่ในฮ่องกงก็ยังเดือดร้อนไม่น้อย แทบทั้งหมดเป็นคนรับใช้ในบ้าน จึงต้องอยู่กินและทำงานกับนายจ้างชาวจีนทั้งวันทั้งคืน ถ้าได้นายจ้างที่ดีก็โชคดีไป แต่ส่วนใหญ่ได้นายจ้างที่ไม่ค่อยดูดำดูดีเท่าไร มิหนำซ้ำยังอาจเป็นที่รองรับอารมณ์ ของนายจ้าง มากกว่าครึ่งของคนรับใช้ชาวฟิลิปปินส์ไม่มีห้องของตัวเอง หลายคนต้องนอนในห้องน้ำ ใต้โต๊ะกินข้าว บางคนต้องนอนในตู้เก็บจาน กลางคืนก็เอาจานออกมาวางข้างนอก แล้วเข้าไปซุกนอน พอเช้าก็เอาจานกลับไปเก็บข้างในตามเดิม หนักกว่านั้นนายจ้างบางคนใช้กำลังกับสาวใช้
    เช่น ตบตีเพราะคนงานทำความสะอาดหม้อไม่เรียบร้อย ที่รุนแรงถึงขั้นเอาเตารีดร้อน ๆ นาบมือก็มี
    น่าแปลกที่ว่า ทั้ง ๆ ที่ชีวิตประสบกับความลำบากมากมาย แต่สาวใช้ฟิลิปปินส์ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส
    จนแม้คนฮ่องกงเองก็คงอิจฉา แน่ละใครที่หลุดออกมาจาก "นรก" ได้แม้เพียงชั่วขณะ ก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าหลุดมาแล้ว ทำอะไรคนเดียวหรือนั่งอยู่เฉย ๆ สักพักก็อาจจะกระสับกระส่ายหรือกลัดกลุ้มขึ้นมาได้ คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ไม่เคยลาพักร้อนเลย สาเหตุก็เพราะทนไม่ได้ที่จะอยู่บ้านเฉย ๆ สู้ออกไปทำงานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สาวฟิลิปปินส์ที่ฮ่องกงจึงเลือกที่จะมาพบปะสังสรรค์กัน แทนที่จะแยกตัวไปเที่ยวคนเดียว ในวันหยุด คนเราเมื่อได้มีโอกาสมาเล่าปัญหา ระบายความเดือดร้อนของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ความกลัดกลุ้ม ก็บรรเทา ลงไปราวกับว่ามีคนมาร่วมแบกด้วย ในอีกด้านหนึ่งการได้รับรู้ความทุกข์ของคนอื่น ก็ช่วยให้เราตระหนักว่าในโลกนี้ไม่ได้มีเราคนเดียวเท่านั้นที่ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ด้วย และอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าเราอย่างเทียบกันไม่ได้ จ.ส.๑๐๐ บางครั้งไม่ได้ช่วยคลายความแออัดของจราจรเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คนกรุงอัดอั้นตันใจ น้อยลง เพราะมีช่องระบายปัญหา รวมทั้งได้รับรู้ว่าคนอื่น ก็เจอรถติดเช่นเดียวกับเรา

    แต่คนเราไม่ได้มาพบปะกันเพื่อระบายความทุกข์เท่านั้น หากยังมาเพื่อรับรู้ความสุขของกันและกัน มีเรื่องดี ๆ ในชีวิตมากมายที่ไม่ได้ทำให้เราเป็นสุขคนเดียว หากยังช่วยให้คนอื่นมีความสุขด้วย แม้แต่เรื่องเชย ๆ เปิ่น ๆ ที่ทำให้เราอับอายขายหน้า เมื่อกลับมาเล่าใหม่ในวงเพื่อน กลับกลายเป็นเรื่องขำขันที่เรียกเสียง หัวเราะ ทั้งของเราและเพื่อน ๆ ได้อย่างวิเศษ นับเป็นยาอายุวัฒนะที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้

    การรับรู้และแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกันช่วยให้จิตใจของเราเบาสบายขึ้นมาก แต่ที่สำคัญกว่า นั้นก็คือการได้รับรู้ถึงน้ำใจไมตรีของกันและกัน เมื่อได้ระบายความทุกข์ และรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใย ใส่ใจ และพร้อมจะช่วยเหลือ ความซาบซึ้งใจ ความหวังและกำลังใจจะผุดโพลงขึ้นมา และดึงจิตที่หนักอึ้ง ให้ลอยสูงขึ้นและมีเรี่ยวมีแรงอีกครั้งหนึ่ง

    ตรงนี้เองเป็นกุญแจสำคัญของการเยียวยาจิตใจ การพบปะสังสรรค์จะมีความหมายน้อยลงถ้า
    ทุกคนมาด้วยจิตที่คิดจะเอาหรือนึกถึงแต่ตัวเอง งานกาล่าดินเนอร์ในโรงแรมชั้นหรูมีคุณค่าทางจิตใจน้อยกว่า งานสังสรรค์กลางทางเท้าของสาวฟิลิปปินส์ก็เพราะเหตุนี้ ในลานปิคนิคกลางเกาะฮ่องกงทุกวันอาทิตย์ แม้ผู้คนจะจับกลุ่มตามท้องถิ่นพื้นเพของตน คล้ายบ้านเราที่มีทั้งอีสาน เหนือ ใต้ อะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแยกกันเป็นพวก ๆ มีการย้ายจากกลุ่มนี้ไปกลุ่มนั้น ชักชวนทักทายกันข้ามกลุ่ม แม้แต่คนชาติอื่นที่แวะเวียนผ่านมา ก็ถูกเรียกให้มาร่วมกินอาหารกัน

    คนฟิลิปปินส์นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนเปิดเผย มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เป็นมิตรกับคนง่าย พร้อมจะผูกสัมพันธ์ และแบ่งปัน เป็นที่รู้กันว่าเมื่อมีแขกมาพัก เจ้าของบ้านจะย้ายมานอนพื้น เพื่อให้อาคันตุกะได้นอนเตียง หัวใจที่เปิดกว้างเช่นนี้ทำให้การสังสรรค์กลางทางเท้าของสาวฟิลิปปินส์ ในฮ่องกงมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วย บรรยากาศที่รื่นเริงแจ่มใส ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นคำตอบว่าเหตุใด ความทุกข์ยากลำบากตลอด ๖ วัน ๖ คืนในบ้านเจ้านายชาวจีนจึงไม่สามารถเปลี่ยนสาวใช้ฟิลิปปินส์ให้กลาย เป็นคนอมทุกข์ เศร้าหมองไปได้ทั้ง ๆ ที่ทำงานมาหลายปี

    ชีวิตของสาวใช้ฟิลิปปินส์ เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า ความสุขของ คนเรานั้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัย ภายนอกเป็นสำคัญ สุขหรือทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีมากหรือน้อย และไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนภายนอกว่า เขาปฏิบัติต่อเราอย่างไร ข้อนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งคือนายจ้างชาวจีน ทั้ง ๆ ที่มีความ เป็นอยู่สะดวกสบาย มีเงินทองมากมาย แต่แล้วคนจีนฮ่องกงกลับกลาย เป็นคนที่มีความสุข น้อยกว่าลูกจ้าง ของตนเสียอีก ในการ สำรวจความเห็นของชาวเอเชียแทบทุกครั้งๆ จะได้ผลสรุปตรงกันว่า ชาวจีนฮ่องกง และชาวญี่ปุ่นมีความสุข น้อยที่สุด ส่วนคนที่มีความสุขมากที่สุดอันดับต้น ๆ คือชาวฟิลิปปินส์

    จิตใจที่เปิดกว้าง พร้อมเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น ช่วยให้เราหมกมุ่นกังวลกับตัวเองน้อยลง ความทุกข์ของเราก็จะพลอยเล็กลง หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกขยายใหญ่เกินความจริง ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นแก่ตัวน้อยลง เพราะนึกถึงคนอื่นมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เพราะนำไปสู่ความอยากได้ใคร่เด่น ซึ่งทำให้ต้องดิ้นรนไขว่คว้าไม่รู้จบ การคิดถึงตัวเองน้อยลงเป็น จุดเริ่มต้นของการลดความทุกข์ในชีวิต และเมื่อเราตระหนักว่าไม่มีอะไรให้น่ายึดถือแม้แต่ตัวเราเอง ความทุกข์ในชีวิตก็เป็นอันสิ้นสุด มีแต่ความโปร่งโล่งเบาสบายในจิตใจ

    นี่ใช่ไหมคือจุดหมายที่เราควรไปให้ถึง
    :- https://visalo.org/article/sukjai254503.htm
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เสียได้เสียไป ใจไม่ทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการวางเพลิงเผาทำลายศูนย์การค้าหลายแห่ง ปรากฏว่าร้านอาหารชื่อดังโดนลูกหลงไปด้วย ถูกเผาไปพร้อม ๆ กัน ๔ สาขา ผู้จัดการสาขาและพนักงานทั้งเศร้าเสียใจและโกรธแค้นมาก
    เมื่อผู้จัดการใหญ่ทราบเรื่องก็พูดปลอบใจลูกน้องว่า “ไม่เป็นไร เรายังมีอีกตั้ง ๓๒๐ สาขา” ว่าแล้วก็ยิ้มโดยไม่มีวี่แววแห่งความทุกข์เลย
    ร้านค้า ๔ สาขาถูกเผาไม่ใช่เรื่องธรรมดาก็จริง แต่สำหรับซีอีโอผู้นี้ มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสาขาที่ยังมีอยู่อีกมากมาย

    เวลาเงินหายหรือทรัพย์สินมีอันเป็นไป คนส่วนใหญ่มักเป็นทุกข์ จนลืมไปว่าตนยังมีทรัพย์สินอีกมากมาย อาจจะมีเป็นจำนวนหลายสิบหลายร้อยเท่าของที่สูญเสียไปด้วยซ้ำ แทนที่จะมัวคร่ำครวญกับสิ่งที่เสียไป ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันมาใส่ใจกับสิ่งที่ยังมีอยู่อีกมากมาย
    เศรษฐินีผู้หนึ่งถูกโกงเงินไปหลายสิบล้าน เธอเสียใจอยู่สองสามวัน แต่หลังจากนั้นก็ยิ้มได้ เพื่อนสงสัยว่าทำไมถึงไม่เสียใจแล้ว เธอตอบว่า “ฉันมาคิดได้ว่า ในเมื่อฉันยังมีอาหารที่อร่อยกิน ยังมีบ้านที่อยู่สบาย แล้วจะทุกข์ไปทำไม”

    สิ่งที่สูญเสียไปแล้ว มิใช่อะไรอื่นหากคืออดีต เหตุใดเราจึงหวงแหนยึดติดกับอดีตที่เจ็บปวด แทนที่จะใส่ใจหรือให้คุณค่ากับสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    เพียงปล่อยวางอดีต หันมาให้คุณค่าหรือชื่นชมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราก็จะเป็นสุขได้ไม่ยาก

    เราสูญเสียอะไรไปมากเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามีอะไรอยู่ในปัจจุบัน หากให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ก็จะพบว่าความสุขมีอยู่รอบตัว ความข้อนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องทรัพย์สมบัติเท่านั้น แต่รวมถึงสุขภาพร่างกายด้วย

    กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด จึงมีร่างกายแคระแกร็น กระดูกเปราะ และต้องให้เลือดเป็นประจำ หมอคาดว่าเธอจะมีอายุไม่ถึง ๒๐ ปี แต่ปัจจุบันก็มีอายุเกือบ ๓๐ ปีแล้ว แม้มีชีวิตไม่เหมือนคนปกติ แต่เธอก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความสุข เธอให้เหตุผลว่า
    “เลือดเราอาจะจาง จะแย่หน่อย แต่เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข”

    คนพิการเป็นอันมาก มีความสุขได้เพราะเขาไม่มัวเสียใจคร่ำครวญกับแขนขาที่เสียไป(หรือที่ไม่เคยมี) แต่เพราะเขารู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ว่า อวัยวะที่หลงเหลืออยู่ หรือสมองและจิตใจที่ยังทำงานได้เหมือนคนปกติ

    สว่าง ทองดี เป็นนักปั่นจักรยานวิบากข้ามประเทศ เล่าถึงประสบการณ์คราวหนึ่งที่ได้ไปเยือนเทือกเขาหิมาลัยและภูเขาเอเวอเรสต์ว่า เขารู้สึกประหลาดใจที่พบเห็นเพื่อนร่วมทางหลายคนเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย บางคนก็แขนขาดขาขาด แต่คนเหล่านั้นสามารถบุกบั่นดั้นด้นไปยังดินแดนทุรกันดาร ที่แม้แต่คนธรรมดาก็ทำได้ยาก
    ผู้ป่วยและคนพิการเหล่านั้นทำได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็พบคำตอบว่า “หากคิดจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว จงอย่าคิดถึงสิ่งที่เราไม่มีหรือข้อด้อยของตัวเอง แต่ให้มองว่าเรามีสิ่งใดอยู่กับตัวบ้าง การจะทำฝันให้สำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราใช้สิ่งที่เรามีอยู่ได้แค่ไหนต่างหาก”
    เมื่อประสบความสูญเสีย อย่ามัวคร่ำครวญอาลัยกับสิ่งที่เสียไป เพราะนั่นจะทำให้เราหลงลืมสิ่งงดงามที่ยังมีอยู่อีกมากมาย และละเลยประโยชน์ที่จะได้รับจากสิ่งเหล่านั้น

    จะว่าไปแล้วยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถเกิดกับเราได้หากไม่จมปลักอยู่ในความคร่ำครวญเสียใจ นั่นคือบทเรียนจากความสูญเสีย

    ความสูญเสียทุกครั้งล้วนบอกแก่เราว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างมาแล้วก็ไป ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา
    ความสูญเสียแต่ละครั้งยังเป็นเสมือนสัญญาณเตือนเราว่า จะมีความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เลวร้ายกว่านั้นตามมาอีกในอนาคต ดังนั้นหากเราทำใจไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น เราจะรับมือกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้อย่างไร

    ใช่หรือไม่ว่า สักวันหนึ่งคนที่เรารักก็ต้องตายจากไป และในที่สุดเราเองก็ต้องละจากโลกนี้ไป หากไม่อยากทุกข์ทรมานเมื่อวันนั้นมาถึง ก็ต้องเตรียมใจฝึกใจขณะที่ยังมีเวลา ความสูญเสียที่ทยอยเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น มิใช่อะไรอื่น หากคือแบบฝึกหัดเพื่อให้เราฝึกทำใจแต่เนิ่น ๆ จะได้มีความพร้อมสำหรับเหตุร้ายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
    เราทุกคนเกิดมาตัวเปล่า เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากไปตัวเปล่า อะไรที่ได้มาก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ในเมื่อจะต้องสูญเสียทุกอย่างอยู่แล้ว หากจะต้องสูญเสียวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อถึงวันนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักกี่มากน้อย
    :- https://visalo.org/article/secret255311.htm

     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    คอลัมน์ สาระขัน : อยากได้กลับไม่ได้
    By : สามสลึง

    เรื่องนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดขึ้นในต่างประเทศ
    เด็กคนหนึ่งมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน แต่ไปโรงเรียนสายเป็นประจำ เช้าวันนี้ก็เช่นกัน อากาศหนาวจัดมาก แล้วเขาก็มาสายอีกตามเคย ครูจึงถามเด็กคนนี้ว่าทำไมมาสาย

    นักเรียนตอบว่า “ครูครับ วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ตั้งใจจะมาโรงเรียนให้ทัน แต่หิมะเป็นเหตุครับ”

    “อะไรกัน” ครูแย้ง “ทุกคนก็เจอหิมะเหมือนกับเธอ แต่ไม่เห็นมีใครมาสายเลย”

    “คืออย่างนี้ครับ หิมะมันตกจนพื้นเป็นน้ำแข็งเต็มไปหมด ทีนี้พอผมก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็ลื่นถอยหลังสองก้าว เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยครับ”

    “แล้ววันนี้เธอมาถึงโรงเรียนได้ยังไง” ครูสงสัย

    “ผมเดินจนเหนื่อยมาก เลยตัดสินใจหันหลังเดินกลับบ้าน มารู้ตัวก็ถึงโรงเรียนแล้วครับ”

    ติ๊ต่างว่าเด็กน้อยพูดจริง เขาอยากไปโรงเรียน แต่ยิ่งอยากถึง กลับไม่ถึง ครั้นตัดสินใจหันหลังกลับ เลิกคิดที่จะไปโรงเรียน แต่แล้วก็มาถึงโรงเรียนจนได้ ใจอยากถึงบ้าน แต่ตัวกลับไม่ถึง

    เคยสังเกตไหม อะไรที่เราอยากได้มาก ๆ สุดท้ายกลับไม่ได้ ยิ่งอยากจะนอนให้หลับ พยายามข่มตาข่มใจให้หลับ แต่กลับตาสว่าง ยิ่งอยากไม่ให้คิด มันกลับคิด มีอะไรมากระทบใจจนโมโหโกรธา หรือเศร้าโศกเสียใจ อยากจะลืมมัน แต่มันกลับยิ่งผุดโผล่รบกวนจิตใจ
    ชีวิตดูเหมือนจะเล่นตลก ถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องบอกว่า god must be crazy แต่ใครจะเล่นตลกหรือไม่ก็ตาม ชีวิตก็มักจะเป็นอย่างนี้ ยิ่งอยากถึง จ้ำเอาจ้ำเอา กลับถึงช้า แต่พอไม่สนใจที่จะให้ถึงเร็ว ๆ มันกลับถึงไวกว่าปกติ ที่จริงมันก็ถึงตามกำหนดปกตินั่นแหละ ไม่ได้ช้าไม่ได้เร็วกว่าเดิม แต่พอเราไม่ใส่ใจกับเวลา ก็รู้สึกว่ามันถึงเร็ว

    ที่จริงแล้ว ถึงเร็วหรือถึงช้า เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า เมื่อใดที่เราอยากให้ถึงไว ๆ ใจจะจดจ่ออยู่แต่นาฬิกา ก็เลยรู้สึกว่านาฬิกาเดินช้าราวกับคลาน แต่พอไม่สนใจมัน เวลาครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็ดูไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ยิ่งลืมนาฬิกาไปเลย เวลา ๗-๘ ชั่วโมงก็เท่ากับวูบเดียวเท่านั้น อย่างที่เรามักรู้สึกทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันจันทร์ว่ากลางคืนผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้หนึ่งชั่วโมงของหนุ่มสาวที่กำลังพลอดรักกัน กับหนึ่งชั่วโมงของคนที่กำลังคอยคู่รัก จึงต่างกันราวฟ้ากับเหว
    ลองนึกอยากได้อะไรสักอย่าง ถ้าอยากได้มาก ๆ จะรู้สึกเลยว่ากว่าจะได้มานั้นไม่ง่ายเลย บ่อยครั้ง มันกลับห่างไกลไปเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ คนที่อยากรวยมาก ๆ มักจะรู้สึกว่ายังไม่รวยเสียที ทั้ง ๆ ที่มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ก็ยังรู้สึกจนอยู่ เพราะสมบัติที่ได้มานั้นยังน้อยกว่าที่ต้องการ คนอย่างบิล เกตส์ อาจจะรู้สึกว่าตัวเองจนอยู่ เพราะที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้นยังไม่สมอยาก

    นี่เป็นปัญหาเดียวกับคนที่ต้องการความรัก ยิ่งอยากให้แฟนรักมาก ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าแฟนไม่รัก ทั้ง ๆ ที่แฟนก็รักเขามาก แต่ความรักที่เขาได้นั้นยังไม่จุใจ คนที่รู้สึกแบบนี้ ในที่สุดมักจะลงเอยด้วยการสูญเสียคนรักไป เพราะเอาแต่เรียกร้องความรักความเอาใจใส่จากแฟนไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แฟนพูดจาไม่ถูกใจก็หาว่าแฟนไม่รัก ตัดพ้อต่อว่าจนแฟนอึดอัดระอาใจ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลาจากเขาไป เข้าตำราว่ายิ่งอยากได้ความรัก ก็ยิ่งไม่ได้ความรัก
    ส่วนคนที่ไม่อยากได้ความรัก ทำตัวเป็นธรรมชาติ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลด้วยความจริงใจ กลับมีเสน่ห์ และกลายเป็นที่รักของผู้คนมากมาย นี่ก็เข้าตำราว่า ยิ่งไม่อยากได้ กลับไม่ได้

    คนที่เสียสละ ให้ความสุขแก่ผู้อื่น โดยไม่หวังตอบแทน จึงกลายเป็นคนร่ำรวย เพราะยิ่งเขาให้ความสุข เขากลับได้ความสุขกลับมา ยิ่งเขาให้ความรักความเมตตาแก่ผู้อื่น เขากลับได้ความรักความเมตตาจากผู้คน
    คนดีที่น่ารักคือคนที่ทำดีโดยไม่สนใจให้คนอื่นรับรู้ แต่ถ้าอยากให้ผู้คนรับรู้หรือจดจำเมื่อไหร่ ก็ยิ่งจะห่างไกลจากความดีและความน่ารัก อย่างคนในเรื่องข้างล่าง
    บุญชัยกล่าวกับชิดชนกว่า

    “ที่รัก ทำไมคุณถึงชอบพูดถึงความผิดพลาดในอดีตของผมอยู่ตลอดเวลานะ ผมคิดว่าคุณยกโทษให้ผมและลืมมันไปแล้วเสียอีก”
    ชิดชนกตอบว่า
    “ฉันยกโทษให้คุณและลืมทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ แต่ฉันต้องการย้ำให้แน่ใจว่าคุณไม่ลืมว่าฉันได้ยกโทษให้คุณและลืมความผิดนั้นไปแล้ว”

    :- https://visalo.org/article/sarakan254608.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ทำชีวิตให้หายวุ่น
    พระไพศาล วิสาโล
    เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็บ่นว่า “วุ่น” มากขึ้น หาเวลาว่างได้น้อยลง โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ในกรุงเทพ ฯ ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อพาลูกไปโรงเรียน หลายคนต้องกินข้าวบนรถ จะได้ไม่ต้องเจอกับจราจรที่ใกล้จลาจล ช่วงที่อยู่สำนักงานก็มีงานเต็มมือ กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืด แล้วยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง กว่าจะเข้านอนก็เกือบเที่ยงคืน เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เช่น พูดคุยกับลูก ดูแลต้นไม้ ออกกำลังกาย ฯลฯ

    นึกดูก็น่าแปลกที่ผู้คนนับวันจะมีเวลาว่างน้อยลง ทั้ง ๆ ที่มีเทคโนโลยีช่วยประหยัดเวลามากมาย อาทิ หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า รถยนต์ และอาหารสำเร็จรูป ทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยให้ภารกิจแต่ละอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น หากยังช่วยให้เราสามารถทำหลายอย่างไปพร้อม ๆ กัน เช่น แปรงฟัน ซักผ้า หุงข้าว อุ่นอาหาร และฟังวิทยุ ในเวลาเดียวกัน แต่แล้วทำไมเราจึงกลับวุ่นกว่าเดิม และมีแนวโน้มว่าจะวุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย ขณะที่ชาวบ้านในชนบท ซึ่งไม่ค่อยมีเทคโนโลยีเหล่านี้ กลับมีเวลาว่างมากกว่าเรา ทั้ง ๆ ที่กิจวัตรแต่ละอย่างใช้เวลามากกว่า แค่หุงข้าวอย่างเดียวก็ใช้เวลาร่วม ๒๐ นาที

    มักมีคำอธิบายว่าสาเหตุที่คนสมัยนี้มีเวลาว่างน้อยลง เพราะต้องแข่งขันกันทำมาหากินมากขึ้น นอกจากข้าวของจะแพงขึ้นแล้ว ผู้คนก็มากขึ้นด้วย จำนวนคนแข่งขันที่มีมากขึ้นก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้เด็กสมัยนี้ต้องเรียนหนังสือมากขึ้น เสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้น จะทำอะไรก็ต้องเสียเวลาไปกับการรอคอยเพราะหลายคนมีเป้าหมายเดียวกับเรา เช่น เข้าคิวซื้อของ หรือติดไฟแดงบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตามนั่นคงไม่ใช่สาเหตุเดียว เพราะถึงแม้จะอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปแข่งขันกับใคร เพราะเป็นวันหยุด เราก็ยังวุ่นอยู่ดี แม้จะน้อยกว่าวันธรรมดาหรือยามที่ต้องออกไปนอกบ้านก็ตาม น่าคิดว่าอะไรทำให้เราวุ่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แข่งขันกับใคร

    บ่อยครั้งสิ่งที่ทำให้เราวุ่นนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาชีพการงานเลย แต่เป็นเรื่องการเสพการบริโภคมากกว่า เดี๋ยวนี้เรามีสิ่งเสพสิ่งบริโภคมากมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องบริโภคทางปากเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริโภคทางตาและทางหูด้วย คงยากที่จะปฏิเสธว่า โทรทัศน์ ดีวีดี ซีดี นับวันจะแย่งชิงเวลาของเรา(และครอบครัว) ไปมากขึ้นทุกที และเดี๋ยวนี้ถ้าไม่พูดถึงโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต ก็เท่ากับมองข้ามตัวการสำคัญไป จำเพาะวัยรุ่นไทยวันหนึ่ง ๆ เสียเวลาไปกับโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต รวมแล้วประมาณ ๕ ชั่วโมง ผู้ใหญ่แม้จะใช้เวลาน้อยกว่า แต่ก็เสียเวลาไปกับเทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้นทุกที

    นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่พยายามแย่งชิงเวลาจากผู้คน อาทิ การช็อปปิ้งหรือเที่ยวห้าง การดูหนังฟังคอนเสิร์ต กิจกรรมเหล่านี้ได้พัฒนาเทคนิคการดึงดูดใจจนยากที่จะปฏิเสธได้หากเผลอเข้าไปเฉียดกราย กิจกรรมเหล่านี้และเทคโนโลยี (ซึ่งมีชื่อไพเราะว่า “สารสนเทศ”)มีส่วนไม่น้อยในการทำให้คนสมัยนี้ดูเหมือนจะวุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องรีบทำให้เสร็จไว ๆ จะได้มีเวลาสำหรับการเสพผ่านกิจกรรมและเทคโนโลยีดังกล่าว บางครั้งก็ต้องยอดอดหลับอดนอน ถ้าไม่เชื่อก็คอยสังเกตพฤติกรรมของผู้คนในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลก (ซึ่งจะมาถึงในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมนี้) ว่าจะเป็นอย่างที่กล่าวไหม

    คนยากคนจนโดยเฉพาะในชนบท ไม่มีปัญญาซื้อเทคโนโลยีหรือทำกิจกรรมดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีเวลาว่างมากกว่าคนในเมือง นอกจากมีเวลาอยู่กับลูกหลาน สนทนากับเพื่อนบ้าน ทำบุญที่วัดแล้ว ยังมีเวลานอนมากกว่าด้วย มองในแง่นี้ก็จะเห็นได้ว่าความว่างหรือวุ่นนั้นเกี่ยวข้องกับฐานะทางเศรษฐกิจด้วย คือยิ่งมีเงินมาก ก็ยิ่งวุ่นมากขึ้น

    จริงอยู่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความวุ่นเพราะต้องทำงานตัวเป็นเกลียว ย่อมทำให้มีเงินมากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็เป็นจริงด้วยเช่นกัน คือเมื่อมีเงินมากขึ้น ก็มีแนวโน้มจะวุ่นมากขึ้น เพราะมีสิ่งเสพสิ่งบริโภคให้เลือกมากมาย ถ้าเก็บเงินไว้ไม่ใช้เลย ก็ดูกระไรอยู่ แต่ทันทีที่ลงมือใช้หรือลงมือบริโภค ก็หมายถึงการเสียเวลาไปกับมัน ยิ่งบริโภคมากก็ยิ่งเสียเวลามาก เวลาว่างจึงมีน้อยลงเป็นลำดับ นี้แหละคือปัญหาของคนมีเงิน คือยิ่งมีเงิน ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเวลาน้อยลง ดังนั้นเมื่อทำอะไรจึงมีแนวโน้มที่จะรีบเร่งให้เสร็จไว ๆ ก็เลยยิ่งรู้สึกวุ่นมากขึ้น

    มองให้ดีจะพบว่าความวุ่นมักเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ทั้งโดยการหากิจกรรมหรือสิ่งเสพต่าง ๆ มาทำให้วุ่น และโดยการเร่งรีบทำสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความรู้สึกวุ่นขึ้นมา ประการหลังนี้ถูกตอกย้ำให้เป็นหนักขึ้นเมื่อมีทัศนคติว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” หรือ “เวลาเป็นของมีค่า” คนมีเงินจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทัศนคติดังกล่าว ดังนั้นจึงคอยไม่เป็นและเร่งรีบจนเป็นนิสัย หนักกว่านั้นก็คือจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ “เป็นเงินเป็นทอง” จึงทนไม่ได้กับการนั่งเล่น เดินเล่น ปลูกต้นไม้ บางคนแม้แต่จะพูดคุยกับลูกเมีย ก็ไม่มีเวลาให้เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาทำมาหากิน (แม้แต่เด็ก ๆ ก็ติดทัศนคติแบบนี้มากขึ้นทุกที เด็กคนหนึ่งเมื่อถูกถามว่าทำไมไม่คุยกับพ่อบ้าง คำตอบก็คือ “คุยแล้วไม่ได้คะแนน ก็เลยไม่รู้จะคุยทำไม) คนที่คิดแบบนี้จึงชอบหมกมุ่นกับงาน หรือไม่ก็หางานมาทำตลอดเวลา หรือทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ถ้าหยุดหรือมีเวลาว่างเมื่อไรก็จะไม่สบายใจหรือรู้สึกผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตจะไม่วุ่นได้อย่างไร
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ชีวิตจะหายวุ่นและมีเวลาว่างมากขึ้น จึงอยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ผู้คนแวดล้อม หรือแม้แต่อาชีพการงาน (การวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่าคนอเมริกันในปัจจุบันใช้เวลากับการทำมาหากินน้อยลงเมื่อเทียบกับ ๔ ทศวรรษที่แล้ว แต่กลับรู้สึกวุ่นมากกว่า) ดังนั้นถ้าอยากให้ชีวิตวุ่นน้อยลง อย่างแรกที่ทำได้เลยคือลืมไปเสียบ้างว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” ถึงแม้สิ่งที่ทำจะไม่ให้ผลงอกเงยเป็นเงินทอง ก็ควรทำด้วยความใส่ใจ ไม่เร่งรีบ พึงตระหนักว่า “ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด” คือทำทุกอย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้จะเป็นแค่การล้างมือ อาบน้ำ หรือถูฟัน เงินทองนั้นสำคัญก็จริงอยู่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความสุขใจอันเกิดจากจิตที่ผ่อนคลาย เป็นสมาธิ อย่าลืมว่ามีเงินมากเท่าไรก็ซื้อความสุขใจไม่ได้ การมีเวลาให้ใจได้อยู่นิ่ง ๆ และผ่อนคลาย เช่น ทำสวน เดินเล่น ทำโยคะ หรือนั่งสมาธิ เป็นการทำให้เวลามีค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

    ควบคู่กันไปก็คือการทำให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ การทำหลายอย่างพร้อมกันนอกจากจะทำไม่ได้ดีสักอย่างแล้ว ยังทำให้จิตเป็นสมาธิได้ยาก การแบ่งความใส่ใจให้แก่หลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเครียดและวุ่นได้ง่าย ถึงเวลาจะพักจิตให้สงบก็ทำไม่ได้ จึงกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ

    ประการต่อมาคือใช้ชีวิตให้เรียบง่ายมากขึ้น มีทรัพย์สมบัติให้น้อยลง เพราะยิ่งมีสมบัติมาก ก็ยิ่งต้องเสียเวลาไปกับสิ่งเหล่านั้น จนแทบไม่มีเวลาว่างให้กับตนเองและครอบครัว จะทำเช่นนั้นได้ต้องมีภูมิคุ้มกันกระแสบริโภคนิยม ที่หมั่นโฆษณาให้เราซื้อสินค้าสารพัดไม่หยุดหย่อน อีกทั้งผลิตสิ่งใหม่ ๆ มาดึงดูดใจเราเสมอ ถ้ายังใจไม่ถึงพอที่จะแจกจ่ายทรัพย์สมบัติที่มีมากมายให้แก่คนอื่น ๆ ก็ควรลดการซื้อข้าวของเข้าบ้าน และทำใจให้เป็นสุขกับสมบัติที่มีอยู่

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่ชอบบ่นว่าวุ่นเหลือเกินนั้น ปัญหาที่แท้จริงของเขาก็คือมีเงินมากเกินไป เงินนั้นทำให้เรามีทางเลือกมากก็จริง แต่ทางเลือกที่มีมากมายก็อาจทำให้เราเสียเวลาในการเลือก และถ้าไม่เลือกเลย แต่เอาทุกทาง ก็ยิ่งเสียเวลามากขึ้น ดังนั้นเงินจึงสร้างภาระให้แก่เราในเวลาเดียวกัน คำตอบคงไม่ได้อยู่ที่การทิ้งเงินไปให้หมด แต่อยู่ที่การมีท่าทีที่ถูกต้องต่อเงิน คือใช้เงินให้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็รู้เท่าทันว่ามันเป็นโทษอย่างไร ไม่ลุ่มหลงติดยึดจนเป็นทาสมัน

    การทำชีวิตให้เป็นอิสระเหนือเงินคือกุญแจสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้เรามีจิตที่ว่างมากขึ้น วุ่นน้อยลง แม้รอบตัวจะยุ่งเหยิงก็ตาม
    :- https://visalo.org/article/sukjai254906.htm
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ทำตัวตนให้เบาบาง
    พระไพศาล วิสาโล
    หมอพบว่าเด็กคนหนึ่งกำลังมีไข้สูง จึงประคองขึ้นมาจากเตียง และป้อนยาน้ำใส่ปากเธอ แต่แล้วเธอก็ปัดมือเขาอย่างแรง จนช้อนหลุด ยาเปรอะพื้น
    หมอป้อนยาอีกครั้ง บอกเธอว่า “กินยาหน่อย ไม่ขมหรอก” แต่ไม่ทันที่ยาจะเข้าปาก เธอก็ปัดอีกที คราวนี้ช้อนไม่หลุดจากมือหมอ แต่ยาน้ำก็กระเซ็นเลอะเสื้อของเขา
    หมอไม่ละความพยายาม เชื้อชวนเด็กน้อยกินยา พร้อมกับยิ้มให้ เธอปัดมือหมออีกครั้ง แต่เบากว่าเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมอป้อนยาอีกครั้ง สบตาเด็กน้อยพลางอ้าปากเชื้อเชิญให้เธอทำตาม ไม่ต่างกับเวลาแม่ป้อนข้าวใส่ปากทารก ทีนี้เธอยอมให้ช้อนสัมผัสริมฝีปาก แต่ลังเลใจที่จะอ้าปาก เธอยกมือทำท่าจะปัด แต่แล้วก็ชะงัก และแล้วก็ยอมเปิดปาก พอกินยาเสร็จเธอก็หันหลัง ซุกหน้ากับเตียงทันทีราวกับคนแพ้ที่กำลังเสียใจ

    เด็กน้อยไม่ได้แค่ป่วยกาย แต่มีบาดแผลที่จิตใจ เธอไม่เพียงถูกทอดทิ้ง ขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่แบเบาะเท่านั้น หากเธอยังถูกผู้คนทำร้าย ด่าว่า จึงไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเร่ร่อนบนท้องถนนมาตลอด ยิ่งกดดันเธอให้เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แม้กระทั่งกับหมอ

    หมอไม่ใช่คนแรกที่ถูกเด็กน้อยปฏิเสธ ก่อนหน้านั้นหมอหนุ่มคนหนึ่งก็ถูกเธอปัดมือปัดช้อนมาแล้ว หลังจากพยายามอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขาก็เลิกเพราะหักห้ามโทสะไม่ไหว เป็นหมอมาหลายปีไม่เคยเจอเด็กที่หยาบคายแบบนี้ แต่หมอคนหลัง ผ่านโลกมามากกว่า แม้เป็นหมอใหญ่ แต่กลับอดทนกับกิริยาอาการของเด็กน้อยได้มากกว่า ที่สำคัญก็คือเขาถือตัวถือตนน้อยกว่าหมอคนแรก

    คนทั่วไปนั้น หากพบเด็กสักคนที่กำลังเดือดร้อน และอยากจะช่วยเด็กคนนั้น แต่ถ้าเจอความหยาบคายของเด็ก เขาคงนึกในใจว่า “ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ ฉันอุตส่าห์ปรารถนาดีกับแก” หมอคนแรกก็คิดแบบนั้น ถึงฉุนเฉียวเด็กน้อย
    แต่หมอคนหลังไม่ได้คิดแบบนั้น เขากลับคิดในใจว่า “ทำอย่างไรเด็กถึงจะยอมกินยาได้ ?” หมอไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย เขาไม่สนใจว่าทำไมเขาถึงถูกปฏิบัติแบบนั้น สิ่งที่หมอใส่ใจคือตัวเด็กมากกว่า หมอสนใจว่าจะแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร
    ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อใดที่นึกถึงแต่ตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความไม่พอใจ ความโกรธ ความฉุนเฉียว แต่เมื่อใดที่นึกถึงคนอื่น คิดถึงปัญหาที่ต้องแก้ จิตใจก็จะไปจดจ่ออยู่กับการหาทางออก ไม่เปิดช่องให้ความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น พูดอีกอย่างคือ ใช้อารมณ์น้อยลง แต่ใช้ปัญญามากขึ้น

    เมื่อใดที่เราคิดถึงแต่ตนเอง เมื่อนั้นเรากำลังเอา “ตัวตน” ออกรับทุกอย่างที่มากระทบ ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หากสิ่งที่มากระทบนั้น น่าพอใจก็แล้วไป แต่บ่อยครั้งมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่พึงปรารถนา ผลก็คือ เกิดความทุกข์ขึ้นมา เพราะตัวตนถูกสิ่งนั้นมากระทบอย่างจัง

    คนเรามักเอาตัวตนออกรับทุกเรื่อง จนกลายเป็นนิสัยและทำไปโดยไม่รู้ตัว เวลามีคนมาตักเตือนหรือตำหนิ ปฏิกิริยาแรกสุดที่เกิดขึ้นในความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คือ “เขาว่าฉัน ๆ ๆ” จากนั้นก็ปรุงต่อไปว่า “มาพูดอย่างนี้กับฉันได้อย่างไร” สิ่งที่ตามมาก็คือ ความไม่พอใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การตอบโต้ด้วยวาจาหรือการกระทำที่รุนแรง
    ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวตนมาออกรับคำตำหนิก็ได้ หากเราเพียงแต่เปลี่ยนมุมมองหรือวิธีคิด นั่นคือหันมาสนใจว่า “ที่เขาพูดมานั้นถูกต้องไหม ?” สิ่งที่เราจะได้คือความรู้ ถ้าเขาพูดถูก เราก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับตัวเราเองว่ามีจุดบกพร่องที่ตรงไหน แต่ถ้าเขาพูดผิด เราก็ได้ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาว่าเขาเป็นคนอย่างไร เป็นคนด่วนตัดสินหรือไม่ เป็นคนติดยึดกับความคิดของตนเพียงใด หรือมีวิธีคิดหรือมุมมองต่างจากเราอย่างไร ความรู้ที่เกิดขึ้นทั้งสองสถานล้วนทำให้เรามีปัญญาเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น มุมมองอย่างนี้จึงเป็นวิถีแห่งปัญญา

    เวลาเราทักเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ทักตอบ อย่าเพิ่งไปคิดว่า “ถือดีอย่างไรถึงมาทำกับฉันอย่างนี้” คิดแบบนี้จะทำให้ตัวเองทุกข์ แทนที่จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ลองเปลี่ยนมานึกถึงเขาบ้างว่า “เขามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ถึงทำท่ามึนตึงแบบนี้?” คิดแบบนี้ นอกจากจะปิดช่องไม่ให้ความน้อยใจเกิดขึ้นกับเราแล้ว ยังช่วยให้เรามีความเห็นใจหรือมีเมตตาต่อเขามากขึ้น และนำไปสู่การสอบถามหาความจริงจากเพื่อนของเรา ในที่สุดเราอาจพบว่า แม่ของเขาป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาลเมื่อคืนวานนี้เอง ที่เขาไม่ได้ทักทายเรานั้น มิใช่เพราะรังเกียจเราแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะใจกำลังห่วงกังวลถึงแม่

    การคิดแบบเอาตัวตนออกรับนั้น ทำให้เราสนใจแค่ว่า ถูกใจหรือไม่ถูกใจฉัน ถ้าถูกใจก็เป็นสุข ถ้าไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ แต่เมื่อคิดแบบนี้เป็นนิสัยก็รังแต่จะทำให้ทุกข์ง่าย เพราะเรื่องที่ไม่ถูกใจนั้นมีเยอะ ส่วนเรื่องที่ถูกใจนั้นก็มักสนองกิเลสหรืออัตตาของเราจนเสียคนได้ง่าย เด็กที่กินแต่อาหารที่ถูกลิ้น อนามัยย่อมบกพร่องฉันใด ผู้ใหญ่ที่ชอบฟังแต่ถ้อยคำที่ถูกหู ก็กลายเป็นคนหูเบาฉันนั้น

    จะไม่ดีกว่าหรือหากเรามาให้ความสนใจกับความถูกต้องมากกว่าความถูกใจ เมื่อได้ยินได้ฟังอะไร ก็ใช้ปัญญาไตร่ตรองว่ามีความถูกต้องเพียงใด มีประโยชน์หรือไม่ จะถูกใจหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อาหารแม้จะถูกปาก แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าถูกต้องต่อร่างกายหรือไม่ หรือถูกสุขลักษณะเพียงใด เวลาเห็นสินค้าในร้าน แทนที่จะซื้อเพราะความถูกใจ ก็หันมาพิจารณาก่อนว่า ถูกต้องไหมที่จะซื้อ เหมาะสมหรือไม่กับสภาพเศรษฐกิจหรือฐานะของเรา และเป็นประโยชน์เพียงใดต่อการดำเนินชีวิต

    ในทำนองเดียวกันเวลาเด็กเพลินกับของเล่น แทนที่จะถามแค่ว่า “สนุกไหม” ซึ่งเป็นการถามโดยเอาความถูกใจเป็นเกณฑ์ น่าถามด้วยว่า “อยากรู้ไหมว่ามันทำงานอย่างไร” คำถามอย่างหลังนี้จะช่วยให้เด็กหัดใช้ปัญญา ซึ่งจำเป็นต่อการค้นหาความถูกต้องและความจริง

    การเอาตัวตนออกรับหรือเอาความถูกใจเป็นเกณฑ์นั้น ทำให้กิเลสหรืออัตตาพองโต จนครอบงำกำหนดชีวิตของเราอย่างกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ตรงกันข้ามการเอาปัญญาออกรับหรือเอาความถูกต้องเป็นเกณฑ์ จะทำให้ตัวตนเบาบาง ความทุกข์เข้ามากระทบไม่ได้ง่าย ๆ จึงเป็นชีวิตที่อิสระและสงบเย็นอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/sukjai254612.htm
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    อัตตาเล็ก หัวใจใหญ่
    ภาวัน
    จีโน บาร์ตาลี เป็นนักปั่นจักรยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอิตาลี เขาได้รับรางวัลชนะเลิศที่ทรงเกียรติระดับนานาชาติหลายรางวัล รวมทั้งรางวัลตูร์เดอฟรองซ์ ทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระทั่งทุกวันนี้มีชาวอิตาเลียนน้อยคนที่จะทำผลงานได้สุดยอดเหมือนเขา
    แต่เกียรติประวัติที่สำคัญที่สุดของเขามิได้อยู่ที่ตรงนั้น สิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรบุรุษ”อย่างแท้จริงก็คือ การที่เขาได้เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือชาวยิวเป็นจำนวนมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ไม่ต้องประสบชะตากรรมอย่างคนอีก ๖ ล้านคนในค่ายนรกนาซี

    ในช่วงที่เยอรมันยึดครองอิตาลี ชาวยิวถูกกวาดล้างขนานใหญ่ตามคำสั่งของฮิตเลอร์ บาร์ตาลีมีบทบาทสำคัญในการช่วยพาชาวยิวหลบหนี ด้วยการนำเอกสารและหนังสือเดินทางปลอมที่ซุกซ่อนใต้อานและในโครงรถ ไปมอบให้แก่คนเหล่านั้น แน่นอนว่าหากเขาถูกจับได้ อาจถูกทรมานและลงโทษถึงตาย

    วีรกรรมดังกล่าวของเขาเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชาวยิว เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ได้มีการทำพิธีรำลึกถึงเขาในอิสราเอล โดยจารึกชื่อเขาในสวนแห่งความดีงามในมวลประชาชาติ อันเป็นการยกย่องอย่างสูงแก่ชาวต่างชาติที่ทำคุณประโยชน์แก่อิสราเอล
    อย่างไรก็ตามในสมัยที่บาร์ตาลียังมีชีวิตอยู่ เขาแทบไม่เคยเอ่ยถึงวีรกรรมดังกล่าวเลย จนสิ้นลมเมื่อปี ๒๐๐๐ ดังนั้นจึงมีชาวอิตาลเลียนน้อยคนที่รู้เรื่องนี้ หากไม่ใช่เป็นเพราะลูกชายของเขาที่พยายามเผยแพร่วีรกรรมของเขาให้ปรากฏ เกียรติประวัติดังกล่าวของเขาก็คงถูกลืมเลือนไป

    เคยมีคนบอกเขาว่า “คุณคือ วีรชน” บาร์ตาลีกลับปฏิเสธว่า ไม่ใช่ผม “คนที่เป็นวีรชนที่แท้จริง คือคนที่เจ็บปวดในวิญญาณ ในหัวใจ ในดวงจิต เพื่อคนที่ตนรัก คนเหล่านี้คือวีรชนอย่างแท้จริง ผมเป็นเพียงนักปั่นจักรยาน”
    บาร์ตาลีเคยกล่าวว่า เขาอยากให้ผู้คนรำลึกถึงเขาเพราะความสำเร็จทางด้านการกีฬามากกว่าที่จะยกย่องเขาว่าเป็นวีรชน เหตุผลก็คือ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำในระหว่างสงครามโลกนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย

    คนเก่งนั้นมักชอบโอ้อวด แต่คนดีมีน้ำใจกลับชอบเก็บงำ อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เทียบไม่ได้กับความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของผู้คนอีกมากมาย หรือไม่ก็เพราะคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่ใคร ๆ ก็ต้องทำหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตน

    แรนดี เพาช์ ผู้เขียน The Last Lecture อันมีที่มาจากปาฐกถาอันลือชื่อในหัวข้อเดียวกัน ซึ่งมีคนนับล้าน ๆ ได้ดูจาก You Tube เล่าว่า หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตลง เขาได้รื้อเอกสารส่วนตัวของพ่อ แล้วพบว่าสมัยที่เป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเคยได้รับเหรียญกล้าหาญและใบประกาศเกียรติคุณที่สดุดี “ความสำเร็จอย่างกล้าหาญ”ของเขา
    เรื่องมีอยู่ว่า คราวหนึ่งกองทหารราบของพลทหารเพาช์ถูกทหารเยอรมันโจมตี หลายคนถูกยิงตาย แต่เพาช์ผู้พ่อกระโดดออกจากที่กำบังเพื่อทำแผลให้ผู้บาดเจ็บขณะที่ถูกระดมยิงอย่างต่อเนื่อง ความกล้าหาญของเขาทำให้ผู้บาดเจ็บทุกคนได้รับการเคลื่อนย้ายสู่ที่ปลอดภัยอย่างเรียบร้อย
    เพาช์ผู้ลูกเล่าว่า ตั้งแต่เล็กจนโต “พ่อกับผมคุยกันเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง แต่พ่อไม่เคยคุยอวดเรื่องนี้เลย” เขาเพิ่งมารู้วีรกรรมของพ่อก็ต่อเมื่อพ่อจากไปแล้ว นี้คือบทเรียนสำคัญที่เขาได้รับในเรื่องการเสียสละและความอ่อนน้อมถ่อมตน

    คนจำนวนไม่น้อยเมื่อทำความดีสักครั้งก็อยากโอ้อวด หากไม่ได้ทำเช่นนั้นก็จะรู้สึกอึดอัดแน่นอก นั่นเป็นเพราะอำนาจของอัตตาที่อยากประกาศให้โลกรู้ถึงวีรกรรมของตน แต่คนที่ปล่อยให้อัตตาครอบงำเช่นนั้นย่อมยากที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพราะความจริงมีอยู่ว่า อัตตายิ่งใหญ่ หัวใจก็ยิ่งเล็ก ตรงข้ามกับคนที่มีหัวใจใหญ่ ก็เพราะมีอัตตาเล็ก จึงกล้าเสียสละเพื่อผู้อื่น โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องประกาศ

    อัตตาใหญ่มักทำให้ทุกข์ง่าย ตรงกันข้ามกับอัตตาที่เล็กลงก็ทำให้เป็นสุขได้ง่ายขึ้น ถ้าอยากให้อัตตาเล็กลง อย่างหนึ่งที่ควรทำคือ ไม่โอ้อวดเมื่อทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น หรือได้รับความสำเร็จ ทำใหม่ ๆ อัตตาจะโวยวาย ไม่ยอมง่าย ๆ แต่ทำไปนาน ๆ มันก็จะสงบเสงี่ยมและตัวลีบลง ถึงตอนนั้นหัวใจจะใหญ่ขึ้น และเปิดพื้นที่ให้ความสุขมานั่งในหัวใจเราได้มากขึ้น

    :- https://visalo.org/article/Image255701.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2025
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เปลื้องใจจากอดีตที่เจ็บปวด
    ภาวัน
    แจ๊ค คอร์นฟิลด์ เป็นอาจารย์กรรมฐานที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของอเมริกา วันหนึ่งมีหญิงชื่อพอลล่ามาปฏิบัติธรรมในสำนักของเขา สีหน้าเธอบ่งบอกถึงความเสียใจระคนความโกรธเพราะเธอเพิ่งถูกสามีทิ้ง ในส่วนลึกของจิตใจ เธอรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ระหว่างที่เธอทำสมาธิภาวนา มีเสียงในใจพร่ำบอกเธออยู่ตลอดว่าเธอเป็นคนไม่น่ารัก ไม่มีใครที่ทนอยู่กับเธอได้นานหรอก สมควรแล้วที่เธอจะถูกทิ้ง

    เมื่อแจ๊คถามเธอว่ารู้สึกแบบนี้มานานเท่าใดแล้ว เธอจึงเปิดเผยว่า เมื่ออายุ ๓ ขวบ พ่อทิ้งเธอให้อยู่กับแม่ โดยไม่เคยกลับมาอีกเลย เขาตายในอีกหลายปีต่อมา เธอรู้สึกตลอดมาว่าการที่พ่อเดินจากไปนั้นเป็นความผิดของเธอ นับแต่นั้นมาเธอจึงมีความคิดฝังใจว่าเธอเป็นคนไม่น่ารักและไม่น่าคบ การถูกสามีทิ้งยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกดังกล่าวให้รุนแรงมากขึ้นจนกลัวที่จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นอีก

    การเจริญสติช่วยให้เธอรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลักไส เพียงแค่เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และหายไป ขณะเดียวกันก็เจริญเมตตาจิต แผ่ความรักและความปรารถนาดีให้แก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ความทุกข์ใจจึงบรรเทาเบาบางลง อย่างไรก็ตามความเสียใจ ความโกรธ และความกลัวก็ยังวนเวียนกลับมาหาเธอเป็นระยะ ๆ

    หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้หลายสัปดาห์ เธอก็พร้อมที่จะย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีตที่สร้างความเจ็บปวดให้เธอมากที่สุด แจ๊คแนะนำให้เธอหลับตาและหวนระลึกถึงคืนที่พ่อทิ้งเธอไป ตอนนั้นเธอยืนอยู่บันไดขั้นบนสุด ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงข้างล่าง แล้วเธอก็เห็นพ่อเดินออกจากบ้านไปด้วยความโกรธโดยไม่เงยหน้าหันมามองเธอเลย “พ่อไม่มองฉันเลย เขาไม่พูดอะไรกับฉันแม้แต่คำเดียว” เธอเล่าด้วยความรู้สึกรวดร้าว เมื่อแจ็คถามเธอว่า เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้คิดอะไรอยู่ตอนนั้น เธอตอบว่า “ฉันต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นพ่อก็ต้องอยู่กับเรา”

    ทั้งความเศร้าโศกและความโกรธทะลักทะลายสู่จิตใจของพอลล่า แต่สติก็ช่วยให้เธอรู้เท่าทันอารมณ์เหล่านั้น ไม่ปล่อยให้มันท่วมท้นใจ ขณะเดียวกันเธอได้แผ่ความรักความปรารถนาดีให้แก่เด็กหญิงวัย ๓ ขวบ ไม่นานใจของเธอก็ค่อย ๆ สงบลง ถึงตรงนี้แจ็คแนะนำให้เธอเปลี่ยนมาเป็นพ่อ แล้วถามเธอว่ารู้สึกอย่างไร เธอตอบว่ารู้สึกแย่มาก ตึงเครียด เป็นความรู้สึกของคนที่รู้สึกล้มเหลวในทุกเรื่อง ทั้งชีวิตครอบครัวและการทำงาน อยากจะหนีทุกอย่างไปให้พ้น

    แจ๊คถามต่อว่า คุณรู้ไหมว่าพอลล่าลูกของคุณกำลังยืนอยู่ที่บันไดชั้นบนนั้น “รู้ แต่ฉันทนมองหน้าเธอไม่ได้ ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ถ้าเห็นหน้าเธอแล้ว ฉันทิ้งเธอไปไม่ได้แน่ ฉันรักเธอมากเหลือเกิน แต่ถ้าไม่ไป ฉันคงตายแน่ ฉันต้องไปจากที่นั่นให้ได้” แล้วพอลล่าก็ร้องไห้ด้วยความสงสารพ่อ

    ตอนนั้นเองที่เธอได้ตระหนักว่า พ่อทิ้งเธอไปไม่ใช่เพราะเธอไม่น่ารัก หรือเพราะเธอทำอะไรผิด แท้จริงแล้วพ่อรักเธอมาก แต่พ่อมีความจำเป็นที่ต้องทิ้งเธอไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาหรือมองหน้าเธอ ความรู้สึกโกรธพ่อที่ฝังลึกมาตลอดชีวิต ถูกแทนที่ด้วยความรักและความเห็นใจ ขณะเดียวกันความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองก็มลายหายไป บาดแผลในจิตใจที่เรื้อรังมานานได้รับการเยียวยาในที่สุด

    หากพอลล่าปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ จากอดีตครอบงำใจ เธอก็คงโกรธพ่อและเกลียดตนเองไปตลอดชีวิต แต่สติและเมตตาช่วยให้เธอหันกลับมาพิจารณาเหตุการณ์ในอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ และได้เห็นอีกแง่มุมของมันที่ไม่เคยนึกมาก่อน ในที่สุดก็ได้พบว่าความทุกข์ที่รังควานเธอมาตลอดชีวิตนั้น เกิดจากการปรุงแต่งของเธอเอง

    คนเรามักทุกข์เพราะความคิดของตน หากไม่รู้จักทักท้วงหรือไตร่ตรองความคิดของตนเสียบ้าง ก็จะเป็นทุกข์ไม่หยุดหย่อน เหตุการณ์ในอดีตนั้นแม้จะเลวร้ายเพียงใด ก็ทำร้ายเราได้ไม่มากเท่ากับความคิดติดลบของเราเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255704.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ความดีที่น่าเสี่ยง
    ภาวัน
    คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างไหม ขณะที่กำลังรอรถเมล์อยู่ ก็มีผู้ชายสีหน้าเศร้า ๆ มาขอเงินคุณ เขาเล่าว่าเขามาตามหาญาติที่กรุงเทพ ฯ จนเงินเกลี้ยงกระเป๋า แต่ไม่พบ อยากจะกลับบ้านแต่ไม่มีเงินค่าโดยสาร จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณ

    คุณฟังแล้วก็สงสารจึงให้เงินไป ๕๐ บาท เขายกมือไหว้ขอบคุณคุณเป็นการใหญ่ก่อนที่จะจากไป แต่แล้วไม่กี่วันต่อมาคุณก็เห็นชายคนเดียวกันนี้เดินขอเงินจากใครต่อใครไม่ไกลจากจุดที่เขาเคยขอเงินคุณ
    เจอแบบนี้เข้าคุณจะรู้สึกอย่างไร?

    เป็นธรรมดาที่คุณจะเสียความรู้สึกหรือโมโหเมื่อรู้ว่าตนเองถูกหลอก หลายคนถึงกับตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่ควักเงินให้อีกหากมีใครมาขอเงินเขา ก็พวกนี้มันสิบแปดมงกุฎกันทั้งนั้น

    การสรุปบทเรียนแบบนี้แม้จะดูสมเหตุสมผล แต่ก็น่าคิดว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่ที่เราจะเอาพฤติกรรมของคน ๆ หนึ่งมาเป็นข้อสรุปแบบเหวี่ยงแหว่าใครก็ตามที่แบมือขอเงินเราล้วนเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น หากคุณถูกผู้ชายคนหนึ่งหลอก ควรหรือไม่ที่จะสรุปว่าผู้ชายทั้งโลกเชื่อไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณย่อมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยที่ถูกตราหน้าอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันอ้าปากหรือโอภาปราศรัยกันเลย

    แม้จะถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างมากที่เราจะสรุปได้ก็คือคนที่แบมือขอเงินเรานั้นส่วนใหญ่ โกหกเรา ถึงแม้คุณจะถูก ๙ คนหลอก ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่สิบจะเป็นเช่นนั้นด้วย คำถามก็คือหากไม่แน่ใจว่าคนที่สิบจะมาหลอกเราด้วยหรือไม่ เราควรให้เงินเขาไหม? ถ้าคุณไม่อยากถูกหลอกอีก ก็ตัดสินใจไม่ยาก เบือนหน้าหนีเขาก็หมดเรื่อง

    แต่หากลองคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากคน ๆ นั้นเขาเดือดร้อนจริง ๆ และมีความจำเป็นต้องกลับบ้านด่วน เพราะทิ้งพ่อที่พิการหรือลูกเล็ก ๆ เอาไว้ การปฏิเสธของคุณอาจมีผลกระทบต่อชีวิตของเขามาก แต่ถ้าคุณให้เงินเขา ก็อาจจะมีความหมายใหญ่หลวงต่อเขา

    ลองนึกอีกทีว่าหากคุณตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับเขา แล้วพบว่าไม่ว่าจะแบมือขอเงินจากใคร ก็ถูกปฏิเสธหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เงินจำนวนมาก คุณจะรู้สึกอย่างไรกับผู้คน คุณจะยังมีศรัทธาในเพื่อนมนุษย์หรือไม่ และหากคุณทำความดีมาตลอด แต่ต้องได้รับผลอย่างนี้ คุณจะยังศรัทธาในความดีและเชื่อมั่นในบุญกุศลอีกหรือไม่
    เงิน ๕๐ บาทหรือ ๑๐๐ บาท อาจไม่มากสำหรับคุณ หากถูกหลอก ก็ไม่ทำให้คุณกระเทือนเท่าไร แต่หากเขาเดือดร้อนจริง ๆ เงินจำนวนเล็กน้อยนี้สามารถฟื้นศรัทธาและความหวังของเขาขึ้นมา และยังอาจมีผลต่ออีกหลายชีวิตที่รอการกลับบ้านของเขา มองในแง่นี้การให้เงินแก่เขาจึงเป็นการ “ลงทุน”ที่น่าเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะหากเสียก็เสียไม่มาก แต่หากได้ก็ได้มหาศาล เป็นแต่ว่าผลได้นั้นไม่ได้เกิดกับคุณ ยิ่งกว่านั้นโอกาสที่จะ “ได้” อาจมากกว่าแทงหวยใต้ดินเสียอีก
    การช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักนั้นจะว่าไปก็ไม่ต่างจากการเสี่ยงโชค เป็นไปได้ว่าโอกาสจะถูกหลอกมีมากกว่า ช่วยไป ๑๐ คนอาจกลายเป็นว่าเราถูก ๙ คนหลอก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดือดร้อนจริง แม้กระนั้นก็ยังคุ้มอยู่ดีมิใช่หรือ

    มีคำกล่าวว่า ปล่อยคนผิด ๑๐ คนยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์ ๑ คน ในทำนองเดียวกัน ในกรณีที่มีคนมาขอเงินเรา ก็อาจพูดได้เช่นกันว่า ถูกคนโกง ๑๐ คนหลอกก็ยังดีกว่าเมินเฉยผู้ทุกข์ยาก ๑ คน

    ใครที่ยังทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาเงินไป ลองฟังเรื่องราวของ โรเบอร์โต เดอ วิเซนโซ นักกอล์ฟชาวอาร์เจนตินาชื่อก้องโลกเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

    ครั้งหนึ่งมีหญิงสาวมาพบเขาแล้วเล่าว่าลูกของเธอป่วยหนักและกำลังจะตาย เขาฟังแล้วก็สงสาร จึงมอบเช็คที่เพิ่งได้รับจากการชนะถ้วยรางวัลให้เธอไป
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา มีเพื่อนมาบอกเขาว่า เขาถูกผู้หญิงคนนั้นหลอก เพราะเธอยังไม่ได้แต่งงาน และไม่มีลูกที่เจ็บป่วย ประโยคแรกที่ออกจากปากของโรเบอร์โตก็คือ “หมายความว่า ไม่มีเด็กที่กำลังจะตาย ใช่ไหม ?”

    เมื่อได้รับคำยืนยัน เขาก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า“นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ได้ยินมาตลอดอาทิตย์นี้เลย” แทนที่จะโมโห เขากลับยินดี เพราะเขานึกถึงเด็กมากกว่าเงินในกระเป๋าของเขา ใช่หรือไม่ว่าถ้าเรานึกถึงคนอื่นมากขึ้น การถูกหลอกจะกลายเป็นเรื่องเล็กลงไปทันที

    :- https://visalo.org/article/Image255112.htm



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2025
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    น้อยนั้นงาม
    ภาวัน
    เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ใครก็ตามจากประเทศสังคมนิยม หากได้ไปเยือนประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ย่อมอดไม่ได้ที่จะตื่นตลึงกับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจอาคันตุกะจากแดนไกลเป็นพิเศษ เห็นจะได้แก่ความอุดมล้นเหลือและหลากหลายของสินค้าตามห้างร้าน


    เสน่ห์อย่างหนึ่งของทุนนิยมที่สามารถสะกดคนทั้งโลก จนสามารถเอาชนะระบบสังคมนิยมได้ ก็คือ การให้เสรีภาพที่จะเลือก เสรีภาพที่ว่ามีให้แก่ทุกคนตั้งแต่ออกจากบ้านไปจับจ่ายใช้สอยเลยทีเดียว เพราะมีของให้เลือกมากมาย ยิ่งมีของหลากหลายให้เลือกมากเท่าไร คนก็รู้สึกว่ามีเสรีภาพมากเท่านั้น

    ผลก็คือทุกวันนี้ ไม่ว่าจะซื้ออะไร ก็มีของให้เลือกมากมาย ไม่ใช่แต่หลากยี่ห้อเท่านั้น แม้ของยี่ห้อเดียวกัน ก็มีหลายรุ่นหลายแบบหลายสเป็คให้เลือก อย่าว่าแต่สบู่ ยาสีฟัน แชมพูเลย แม้กระทั่งบริการโทรศัพท์มือถือ แค่บริษัทเดียวก็มีหลายโปรโมชั่นจนผู้คนสับสนไม่รู้จะเลือกอะไรดี

    ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความหลากหลายของสินค้ามีมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จำเพาะมันฝรั่งทอดอย่างเดียวมีถึง ๒๐ อย่าง แตกต่างทั้งรสชาติ ขนาด และหีบห่อ ยิ่งแชมพู ยาสีฟันด้วยแล้ว มีไม่น้อยกว่า ๙๐ อย่าง ทุกวันนี้ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม มีของให้เลือกโดยเฉลี่ยถึง ๕๗ อย่าง มีตัวเลขว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐขณะนี้มีสินค้าวางขายถึง ๔๘,๗๕๐ รายการ หรือเพิ่มขึ้น ๕ เท่าจากเมื่อ ๓๕ปีที่แล้ว

    ความหลากหลายอย่างล้นเหลือไม่ใช่เป็นเรื่องดีเสมอไป ทั้งกับลูกค้าและห้างร้าน เคยมีการทดลองนำแยม ๒๔ ชนิดมาวางบนโต๊ะให้ลูกค้าเลือกชิม วันต่อมาลดเหลือแยมแค่ ๖ ชนิด ใครที่หยุดดูและทดลองชิมแยมจะได้รับบัตรลด สามารถซื้อแยมยี่ห้อเดียวกันในราคาพิเศษจากในร้านได้ สิ่งที่ผู้ทดลองค้นพบก็คือ คนที่หยุดดูนั้นมีเพิ่มขึ้นหากวางแยมไว้ ๒๔ ชนิด แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อถึงเวลาซื้อ คนที่หยุดดูแยม ๖ ชนิดมีถึงร้อยละ ๓๐ ที่ เดินไปซื้อแยม ตรงกันข้ามกับคนที่หยุดดูแยม ๒๔ ชนิด มีเพียงร้อยละ ๓ เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงิน

    มีการทดลองแบบเดียวกันนี้กับสินค้าชนิดอื่น เช่น ช็อคโกแลต ก็ได้ผลทำนองเดียวกัน ทำให้ได้ข้อสรุปว่าการมีของให้เลือกมากมายนั้น หาได้ส่งเสริมหรือกระตุ้นการขายไม่

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การมีของให้เลือกอย่างมากมายจนลานตานั้นไม่เพียงทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และรู้สึกตัดสินใจยาก เพราะไม่รู้จะเลือกอะไรดี แต่ยังทำให้เกิดความกังวลด้วย เพราะกลัวว่าจะเลือกอันที่ไม่ดี หรือพลาดอันที่ดีที่สุดไป ครั้นเลือกไปแล้ว พบว่าคนอื่นได้อันที่ดีกว่าตน ก็จะยิ่งรู้สึกแย่ (แม้อันที่ตัวเองเลือกจะคุ้มค่าคุ้มราคาแล้วก็ตาม)

    เป็นธรรมดาที่ว่ายิ่งมีของให้เลือกมากมาย ผู้คนก็ยิ่งตั้งความหวังไว้สูงว่าจะต้องเลือกได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีเวลาหาข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อไม่มีเวลาทำเช่นนั้นจึงมักลงเอยด้วยการเลือกไม่ได้อย่างที่หวัง ดังนั้นแม้จะเลือกได้สิ่งที่ดีแล้ว ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ผลก็คือ เกิดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่เลือกผิด ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าหลายคนตัดสินใจไม่ซื้ออะไรเลยเมื่อเห็นสินค้าวางขายมากมายหลายชนิด

    ความทุกข์จากการมีของให้เลือกมากมายหลายหลากนับวันจะรุนแรงมากขึ้น จนถึงกับมีการแห่เข้าคอร์สฝึกอบรมเพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น “ผู้คนทำอะไรไม่ถูกแล้วเพราะมีทางเลือกมากเกินไป”เป็นความเห็นของผู้จัดคอร์สดังกล่าวซึ่งกำลังได้รับความนิยม นอกจากนั้นยังมีหนังสือมากมายที่แนะนำการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับทางเลือกที่มีมากมาย เช่น “Living Simply: Choosing less in a world of more”

    ปฏิกิริยาต่อสินค้าที่มีให้เลือกอย่างล้นเหลือลานตา ทำให้ผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยหันมาลดจำนวนผลิตภัณฑ์ เช่น พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล ได้ลดชนิดของแชมพูจาก ๒๖ เหลือ ๑๕ ชนิด กลิดเดน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสีรายใหญ่ ปรับลดชนิดสีทาผนังจาก ๑,๐๐๐ เหลือแค่ ๒๘๒ ชนิด ปรากฏว่านอกจากต้นทุนจะลดลงแล้ว ยอดขายยังเพิ่มขึ้นด้วย

    น้อยคือมาก หรือ “less is more” เป็นแนวทางใหม่ที่กำลังมาแรง ซึ่งมิได้หมายถึงการผลิตให้หลากหลายน้อยลงเท่านั้น แต่รวมถึงการซื้อให้น้อยลงด้วย นอกจากจะทำให้เงินออมเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพูนความสุขทางใจให้แก่ตนเองด้วย อย่างน้อยก็ช่วยให้ความสับสนวุ่นวายลดลงไปมาก

    :- https://visalo.org/article/Image255405.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...